- 21.00 น. พร้อมกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ เคาน์เตอร์สายการบิน ซาอุดิอาระเบียน แอร์ไลน์ โดยมีเจ้าหน้าที่บริษัทคอยให้การต้อนรับและอำนวยความสะดวกในการเช็คอินด้านสัมภาระและเอกสารให้กับท่าน**ท่านต้องเตรียมเอกสารรับรองการฉีดวัคซีนโควิด-19 <วัคซีนพาสปอร์ต> ให้พร้อมเพื่อใช้ในการเช็คอิน**
พูดถึง ทัวร์ซาอุดิอาราเบีย ในด้านการท่องเที่ยว เรานึกถึงภาพอะไรในตอนนี้ หลายคนคิดถึงภาพสองนครศักดิ์สิทธิ์ในโลกของมุสลิม คือ เมกกะห์ (Mekkah) และ เมดิน่าห์ (Medinah) สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่นักแสวงบุญชาวมุสลิมเดินทางไปทำพิธีอุมเราะห์และพิธีฮัจญ์อันศักดิ์สิทธิ์ประจำทุกปี ความจริงแล้ว ซาอุ ดิอาระเบีย เป็นประเทศที่มีสถานที่ท่องเที่ยวหลากหลายมากจริงๆ มีทั้งแนวเที่ยวชมแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นมรดกโลกขององค์การยูเนสโก้ ซึ่งมีมากมายหลายแห่งเลยทีเดียว ถ้าใครเป็นสายชอบเที่ยวธรรมชาติ ที่นี่ก็มีแหล่งท่องเที่ยวแนวสวยแบบธรรมชาติที่กลุ่มโฟโต้จีนิกต้องไม่พลาด อย่างเช่น ทะเลทรายสุดขอบฟ้า The Edge of the World (Jebel Fihrayn) ที่เส้นตัดขอบฟ้ามองไปได้ไกลสุดลูกหูลูกตา เราจึงขออาสาจัดไป ทัวร์ซาอุดิ อาระเบีย เที่ยวซาอุ ดิ ไปซาอุ ดิอาระเบีย เจาะลึกไปกับโกลบอล ฮอลิเดย์ แนะนำ ทัวร์ ไป ซา อุดิ อารา เบีย ที่จะพาไปได้ครบและส้มผัสประสบการณ์ใหม่ที่แตกต่าง
-
Day 1กรุงเทพฯ
-
Day 2กรุงเทพ - ริยาดห์
- 00.15 น. เหินฟ้าสู่ กรุงริยาดห์ โดยสายการบิน SAUDIA เที่ยวบินที่ SV847 (00.15-03.15)(ใช้เวลาบิน 7 ชั่วโมง)03.15 น. เดินทางถึงสนามบินนานาชาติ Riyadh King Khalid International Airport(กรุณาปรับนาฬิกาตามเวลาท้องถิ่น เวลาที่ซาอุดิอาระเบีย ช้ากว่า เวลาที่ประเทศไทย 4 ชั่วโมง)หลังผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองพร้อมรับกระเป๋าสัมภาระเรียบร้อยแล้ว พบไกด์ท้องถิ่น นำท่านเดินทางสู่โรงแรมที่พัก เพื่อล้างหน้าตาให้สดชื่น พร้อมกับฝากกระเป๋าเดินทางไว้ที่โรงแรม (ไม่ทำการเช็คอินเข้าห้องพัก)เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรมขอต้อนรับท่านสู่ เมืองริยาดห์ (Riyadh) เมืองหลวงแห่งประเทศซาอุดิอาระเบีย เป็นหนึ่งในเมืองใหญ่บนคาบสมุทรอาหรับ เมืองนี้ตั้งอยู่ใจกลางทะเลทรายอัน-นาฟุด ทางทิศตะวันออกของที่ราบสูงนาจด์ อยู่เหนือระดับน้ำทะเลโดยเฉลี่ย 600 เมตร เป็นเมืองที่มีจำนวนประชากรมากที่สุดในซาอุดิอาระเบีย และเป็นอันดับ 3 ในตะวันออกกลางริยาดห์ เป็นทั้งศูนย์กลางทางการเมืองและการบริหารของซาอุดิอาระเบีย สภาที่ปรึกษา (หรือที่เรียกว่าสภาชูรา) คณะรัฐมนตรีของซาอุดิอาระเบีย พระมหากษัตริย์ และสภาตุลาการสูงสุดของซาอุดิอาระเบีย ล้วนตั้งอยู่ในเมืองนี้ รวมทั้งสถานทูตจากประเทศต่างๆ 112 แห่ง นอกจากนี้เมือง ริยาดห์ยังมีความสำคัญทางเศรษฐกิจอย่างมาก เนื่องจากเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ของธนาคารและบริษัทขนาดใหญ่หลายแห่งจากนั้นเดินทางไปชม อัล ดิริยะห์ (Al Diriyah)เป็นเมืองหลวงของอาณาจักรแห่งแรกของราชวงศ์ซาอุดิอาระเบีย เป็นจุดตัดบนเส้นทางของนักจาริกแสวงบุญและพ่อค้าบนเส้นทางการค้าสำคัญในอดีต ที่นี่เป็นสถานที่ที่รัฐบาลให้ความใส่ใจในการทำงานค้นหามรดกทางประวัติศาสตร์อย่างจริงจังและต่อ เนื่องมาโดยตลอดภายหลังจากที่ อัล ดิริยะห์ ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็น มรดกโลก โดยองค์การยูเนสโก้ (UNESCO World Heritage Site) ในปี ค.ศ. 2010 เมืองโบราณแห่งนี้ตั้งอยู่ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของริยาดห์ และพื้นที่ส่วนของเมืองโบราณดิริยะห์ ตั้งอยู่บนพื้นที่ของหุบเขาแคบๆ ที่เรียกว่า Wadi Hanifa ซึ่งเป็นบริเวณที่มีทั้งสวนปาล์มและสวนพืชผลไม้ต่างๆ ผสมผสานไปกับอาคารบ้านเรือน โครงสร้างสถาปัตยกรรม ของเมืองเก่าแห่งนี้เกือบทั้งหมดเป็นโครงสร้างดิน ส่วนเมืองใหม่ในปัจจุบันก็ถูกสร้างขึ้นในระดับ ความสูงที่อยู่ต่ำกว่านำท่านชม พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติซาอุดิอาระเบีย (National Museum of Saudi Arabia) ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปีค.ศ.1999 พิพิธภัณฑ์หลักของเมืองริยาดห์นี้ เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานประวัติศาสตร์แห่งกษัตริย์อับดุลลาซิส ซึ่งเป็นสถานที่กว้างใหญ่ ภายในประกอบไปด้วยอาคารในสถาปัตยกรรมที่ทันสมัยและสวนที่ถูกจัดไว้อย่างสวยงาม ส่วนตัวพิพิธภัณฑ์ มีความน่าสนใจในการจัดแสดงเรื่องราวต่างๆที่สำคัญ เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของชาติ ตั้งแต่เริ่มแรกก่อตั้งอาณาจักร เรื่องราวของราชวงศ์ซาอุดิอาระเบีย รวมทั้งบริบททางการ เมืองที่ผ่านมาของประเทศ นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดงวัตถุโบราณล้ำค่าของชาติไว้มากมาย ที่จัดแสดงตามช่วงเวลาของประวัติศาสตร์ ภายในพิพิธภัณฑ์นั้นจะประกอบด้วยห้องโถงนิทรรศการหลักแบ่งเป็น 8 ห้อง ได้แก่ ห้องกำเนิดมนุษย์และจักรวาล ห้องยุคต่างๆของเหล่าอาณาจักรอาหรับ ห้องประวัติศาสตร์ยุคก่อนอิสลาม ห้องพันธกิจของท่านศาสดามูฮัมหมัดต่อศาสนาอิสลาม ห้องรัฐซาอุดิอาระเบียแห่งแรก ห้องกำเนิด ราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบีย รวมถึงการจำลองหอฮัจญ์ และมัสยิดศักดิ์สิทธิ์สองแห่งของประเทศสิ่งล้ำค่าชิ้นเอกในพิพิธภัณฑ์ ได้แก่ โครงกระดูกช้างยุคก่อนประวัติศาสตร์ อุกกาบาตขนาดใหญ่ที่พบในเขตทะเลทรายของประเทศ หินแกะสลักภาพเขียนโบราณยุคก่อนอิสลาม เป็นต้น จากนั้นนำท่านเดินชมสวนสวยกลางแจ้งภายในเขตอุทยานประวัติศาสตร์แห่งนี้ และเดินผ่านไปยัง หอของกษัตริย์อับดุลลาซิส ซึ่งมีรถยนต์พระที่นั่งประจำพระองค์ของกษัตริย์จัดแสดงอยู่มากมายกลางวัน รับประทานอาหารกลางวันบ่าย ไม่ไกลออกไปจากพิพิธภัณฑ์ฯ เป็นที่ตั้งของพระราชวังที่สวยงามแห่งหนึ่ง คือ พระราชวังมูร์ราบา (Murraba Palace) ที่นี่เป็นหนึ่งในพระราชวังที่สําคัญที่สุด ที่สร้างขึ้นโดยกษัตริย์อับดุลลาซิส พระราชวังแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นพระราชฐานที่ประทับส่วนพระองค์และเชื้อพระวงศ์ในอดีตตัวพระราชวังสร้างขึ้นในรูปแบบสถาปัตยกรรมพื้นเมืองสไตล์นัจญด์ (Najdi) โดยใช้วัสดุก่อสร้างที่มีเฉพาะในท้องถิ่นเท่านั้น Murraba Palace ถูกเรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า Qasr al Murabba ซึ่งแปลว่า สี่เหลี่ยมจัตุรัส ดังนั้นชื่อของพระราชวังได้มาจากการออกแบบรูปแบบโครงสร้างพื้นที่ให้เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส โดยมีขนาด 400 x 400 เมตรจากนั้นนําท่านสัมผัสวิถีชีวิตชาวซาอุ พาเดินชม ตลาดอัล ซัล (Al Zal Traditional Flea Market) ตลาดซาอุดิอาระเบียดั้งเดิมที่สร้างมานานนับร้อยกว่าปี (ค.ศ.1901) มีชื่อเสียงในเรื่องของการเป็นตลาดที่มีสินค้าพร้อมสรรพมากที่สุด และเก่าแก่ที่สุด และมีผู้คนไปใช้มากที่สุดของเมืองริยาดห์ ที่นี่มีข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันตามวิถีแห่งวัฒนธรรมประเพณีของชาวซาอุครบครันทุกสิ่ง ตั้งแต่ น้ำหอม พรมทอมือ เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายพร้อมอาวุธของบุรุษเพศ รองเท้าแตะหนัง กระถางธูป รวมทั้งอาวุธและข้าวของใช้โบราณเก่าเก็บแบบแอนทีคสุดๆ ก็หาได้ที่ตลาดแห่งนี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่ผู้คนที่มาเยือนเมืองริยาดห์ ต้องมาเยี่ยมชมตลาดโบราณที่มีชีวิตชีวาเพราะเต็มไปด้วยสิ่งที่น่าสนใจในตลาดแห่งนี้นำท่านเดินทางไปยัง ป้อมปราการอัล มาสมาค (Al Masmak) สถานที่แห่งนี้เป็นเสมือนหนึ่งในแลนด์มาร์คที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของซาอุ ดิอาระเบีย ปัจจุบันถูกใช้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ผู้เข้าชมจะเพลิดเพลินไปกับเรื่องราวประวัติความเป็นมาของการก่อร่างสร้างชาติ ในบรรยากาศการจัดแสดงเสมือนการนำผู้ชมย้อนเวลากลับไปหาอดีตรากเหง้าของชาวซาอุดิอาระเบีย ภายในมีการจัดแสดงสิ่งของต่างๆ ที่สำคัญ อาทิ เครื่องแต่งกาย และอาวุธยุทโธปกรณ์โบราณ เช่น มีด ดาบ ปืนโบราณ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดงแผนที่และภาพถ่ายที่สำคัญๆ ของชาติไว้อีกด้วย ป้อมปราการดินแห่งนี้ เดิมถูกสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1865 โดยเจ้าชายอับดุลรามัน อิบิน สุไลมาน อัลดาบาน โดยได้ผ่านเหตุการณ์สำคัญในหน้าประวัติศาสตร์การรวมชาติ ในช่วงสงครามการต่อสู้ครั้งสำคัญในริยาดห์ The Battle of Riyadh ซึ่งครั้งนั้นป้อมฯได้ถูกยึดโดยกษัตริย์อับดุล อาซิซ ต่อมาในปี ค.ศ.1995 ที่แห่งนี้ได้ถูกเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์จวบจนกระทั่งปัจจุบันก่อนจบวัน พาท่านแวะชม วิวเมืองริยาดห์ในมุมสูงที่อาคาร Kingdom Tower หรือ Kingdom Centre เป็นอาคารสูง 41 ชั้น หรือ 302.3 เมตร ตั้งอยู่บน King Fahad Road ถนนสายหลักของเมืองริยาดห์ อาคารนี้มีจุดชมวิวเมืองที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างสองยอดปลายแหลมของอาคาร ที่เรียกว่า The Sky Bridge ด้วยความโดดเด่นของรูปแบบอาคาร ทำให้ถูกจัดเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คที่น่าสนใจของเมืองริยาดห์ที่มีผู้มาเยือนตลอดเวลาไม่ขาดสายค่ำ รับประทานอาหารค่ำเข้าสู่โรงแรมที่พัก CENTRO WAHA RIYADH HOTEL 4*, RIYADH หรือเทียบเท่า
-
Day 3ริยาดห์ - ยอดเขาฟีรานย์ (The Edge of the World) - หมู่บ้านโบราณ Ushaiger
- เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรมหลังอาหารเช้า เดินทางมุ่งหน้าสู่ ยอดเขาฟีรานย์ (Jebel Fihrayn) ที่รู้จักกันแพร่หลายในชื่อ "ดินแดนสุดขอบโลก" The Edge of the World เป็นสิ่งมหัศจรรย์ทางธรณีวิทยาที่น่าทึ่งแห่งหนึ่งของซาอุดิอาระเบีย ตั้งอยู่ห่างจากริยาดห์ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ ประมาณ 120 กิโลเมตร ยามเมื่อท่านยืนอยู่ตรงหน้าผาสูงชัน สายตามองทอดยาวไกลผ่านผืนทะเลทรายอันกว้างใหญ่นั้น ท่านจะมองเห็นเส้นสุดขอบฟ้าในทุกทิศทางแบบ 360 องศา นั่นเสมือนราวกับว่าท่านยืนอยู่ที่ขอบโลกอันยิ่งใหญ่ที่เปล่งพลังให้กับร่างกายและจิตวิญญาณ เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่จะทําให้ท่านมีความประทับใจไม่รู้ลืมกลางวัน รับประทานอาหารกลางวันบ่าย เดินทางต่อไปยัง หมู่บ้านโบราณอูชัยเกอร์ ระหว่างทางแวะชม บ่อเกลือ (Salt Marsh) ดูวิธีการ ทำนาเกลือ โดยการสกัดเกลือออกจากพื้นดินเค็ม เป็นวิธีการปฏิบัติต่อกันมาอย่างยาวนานของชาวพื้นเมืองอาหรับที่นี่เดินทางถึง หมู่บ้านโบราณอูชัยเกอร์ (Ushaiger Heritage Village) “อูชัยเกอร์” เป็นหมู่บ้านโบราณ ที่ตั้งอยู่ใจกลางของแคว้นนัจญด์ (Najdi) ห่างจากเมืองริยาดห์ราว 200 กิโลเมตร ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นเขตที่ราบสูงตอนกลางของคาบสมุทรอาหรับ ในสมัยก่อนเมื่อประมาณ 1,500 ปีที่ผ่านมา ชนเผ่าเร่ร่อนเบดูอินเคยมาตั้งหลักแหล่งอยู่ที่นี่ก่อน ต่อมาก็กลายเป็นจุดแวะพักของนักจาริกแสวงบุญที่เดินทางไปยังเมกกะห์ เพราะความร่มรื่นและอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่บริเวณโดยรอบคำว่า “Ushaiger” แปลว่า “สีทองบลอนด์อ่อนๆ” ซึ่งเป็นการตั้งชื่อตามสีของเนินเขาเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ทางเหนือของหมู่บ้าน แม้ว่าเนินเขาที่แท้จริงเป็นหินสีแดง แต่คนในท้องถิ่นกล่าวว่าภาษาอาหรับคำสำหรับสีแดง สามารถใช้ทดแทนกับสีทองบลอนด์ในสมัยก่อนได้เช่นกันหมู่บ้านแห่งนี้ล้อมรอบด้วยกำแพงหนาทึบ ที่มีหอคอยขนาดใหญ่ และมีประตูไม้ขนาดใหญ่ การเดินชมต้องเดินผ่านประตูหลักเพื่อเข้าสู่ใจกลางของหมู่บ้าน ภายในแบ่งเป็น 7 เขตโซน มีบ้านดิน 400 หลัง และมัสยิด 25 แห่ง และมีการทำสวนปาล์มและสวนผลไม้มากมาย เส้นทางการเดินเยี่ยมชมหมู่บ้านจึงเต็มไปด้วยร่มเงา เส้นทางเดินภายในคดเคี้ยวไปมาคล้ายเขาวงกต บ้านบางหลังมีประตูโบราณที่ตกแต่งด้วยตราสัญลักษณ์และลวดลายเรขาคณิตแบบดั้งเดิมที่สวยงามมาก องค์ประกอบต่างๆเหล่านี้ จึงทำให้เป็นหมู่บ้านประวัติศาสตร์แห่งนี้มีเสน่ห์อย่างมากเลยทีเดียว นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นถิ่นกำเนิดบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์หลายคน อาทิ นักบวชอิสลามที่มีชื่อเสียง Muhammad ibn Abdul-Wahab และนักวิชาการอิสลาม Sheikh Al-Othaimeen ทั้งนักกวีและนักคิดชาวอาหรับอีก หลายคน หลังจากเดินสำรวจชมหมู่บ้านที่สวยงามแห่งนี้แล้ว ได้เวลาเดินทางกลับไปยังเมืองริยาดห์ค่ำ รับประทานอาหารค่ำเข้าสู่โรงแรมที่พัก CENTRO WAHA RIYADH HOTEL 4*, RIYADH หรือเทียบเท่า
-
Day 4ริยาดห์ - อัลอูลา
- เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรมหลังอาหารเช้า นำท่านเดินทางไปยังสนามบิน Riyadh King Khalid International Airport เพื่อบินไปยังเมืองอัลอูลา (Al Ula)09.20 น. เหินฟ้าสู่ อัลอูลา โดยสายการบิน SAUDIA เที่ยวบินที่ SV1574 (09.20-11.00) (ใช้เวลาบิน 1 ชั่วโมง 40 นาที)11.00 น. เดินทางถึงสนามบิน Prince Abdul Majed Airport ในเมืองอัลอูลา นำท่านเดินทางมุ่งสู่ อัลอูลา (Al Ula) < 30KMS / 30MIN > เมืองที่ถูกจัดให้เป็น เมืองมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก้ (UNESCO World Heritage Site) เป็นแห่งแรกของซาอุดิอาระเบีย ตั้งอยู่ท่ามกลางทะเลทรายลึกในแถบตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ สถานที่แห่งนี้นอกเหนือจากความมหัศจรรย์ของเทือกเขาหินทราย ร่องโตรกภูผาที่ธรรมชาติได้ปั้นแต่งขึ้นอย่างสวยสดงดงามแล้วที่ อัลอูลายังเต็มไปด้วยสิ่งที่น่าสนใจทางประวัติศาสตร์ที่รุ่งเรืองผ่านมากว่า 7,000 ปีมาแล้ว นำท่านไปชม หินรูปช้าง (Elephant Rock) หรือภูเขาอัลฟีล (Jabal Alfil) อีกหนึ่งความมหัศจรรย์ของธรรมชาติที่น่าพิศวงที่เกิดขึ้นในอัลอูลา หินรูป ทรงแปลกขนาดใหญ่ คล้ายกับช้างยืนอยู่ท่ามกลางพื้นดิน มีฉากหลังเป็นภูเขาหินทราย ตั้งตระหง่านสูงจากพื้นดินประมาณ 171 ฟุต ตั้งอยู่ห่างออกไปประมาณ 11 กิโลเมตรจากตัวเมืองอัลอูลากลางวัน รับประทานอาหารกลางวันบ่าย นำท่านชม ย่านเมืองเก่าอัลอูลา (Al Ula Old Town) ให้ท่านได้เดินเล่นเพลิดเพลินกับบรรยากาศของเมืองเก่าที่มีร้านค้า ร้านอาหาร ร้านขายของ ได้อย่างอิสระ จากนั้นนำท่านเช็คอินเข้าสู่โรงแรมช่วงเย็น นำท่านไปสัมผัสประสบการณ์สุดวิเศษครั้งหนึ่งในชีวิตกับ การดูดาวยามค่ำคืน แบบชาว เบดูอิน (Stargazing Experience) ที่ Al Gharameel เป็นสถานที่ที่ท่านจะประทับใจกับความหมายของการดูดาวแบบดั้งเดิมของชาวเบดูอินอันแสดงให้เห็นถึงความผูกพันระหว่างดวงดาวกับวิถีชีวิตของชาวเบดูอินตั้งแต่ในอดีต ซึ่งสะท้อนมายังวิถีวัฒนธรรมประเพณีของชาวเบดูอินสืบต่อมาหลายช่วงอายุคน สมควรแก่เวลา นำท่านเดินทางกลับโรงแรมเพื่อพักผ่อนตามอัธยาศัยค่ำ รับประทานอาหารค่ำเข้าสู่โรงแรมที่พัก SAHARY RESORT 4*, AL ULA หรือเทียบเท่า
-
Day 5อัลอูลา - เฮกรา - ดาดัน - ภูเขาอิคมาห์ - ฮารัท อูวาย์ริด
- เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรมออกเดินทางไปชม เฮกรา (Hegra) World Heritage Site (UNESCO) < 32KMS / 35MIN >เฮกรา (Hegra) เป็นที่รู้จักในนาม Mada'in Salih (Cities of Salih) เป็นแหล่งโบราณคดีที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ของ Al Ula ภายในจังหวัดเมดิน่าห์ (Medinah) แคว้นฮิญาช (Hejaz) เหล่าซากปรักหักพังของโบราณสถานส่วนใหญ่ มีอายุตั้งแต่สมัยอาณาจักรนาบาเทียน ราวคริสต์ศตวรรษที่ 1 โดยตำแหน่งที่ตั้งตรงบริเวณนี้ถือเป็นส่วนใต้สุดของราชอาณาจักรนาบาเทียน และเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองรองจากนครหลวงเพตรา (ปัจจุบันอยู่ในประเทศจอร์แดน) นอกจากนี้ยังพบร่องรอยการยึดครองของชนชาติต่างๆ เช่น ชาวลิเฮียน (Lihyanite) หรือชาวดาดัน (Dadan) และชาวโรมัน (Roman) ก่อนและหลังการปกครองของชาวนาบาเทียนอีกด้วยในปีค.ศ.2008 องค์การยูเนสโก้ได้ประกาศขึ้นทะเบียนให้สถานที่แห่งนี้ให้เป็น มรดกโลกแห่งแรกของซาอุดิอาระเบีย (1st UNESCO World Heritage Site) เนื่องจากความเก่าแก่และความสมบูรณ์ของซากโบราณสถาน โดยเฉพาะส่วนที่เป็นสุสานหินแกะสลักโบราณขนาดมหึมา 131 แห่งที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี สุสานหินเหล่านี้เป็นของเหล่าบรรดาผู้มั่งมีที่มีความเชื่อในการสร้างสุสานที่ส่วนหน้าเป็นการแกะสลักหน้าผาหิน เป็นลวดลายประดับประดาอย่างวิจิตรบรรจงสวยงามตามความนิยมของหมู่ชาวนาบาเทียนในสมัยนั้น ไกด์ท้องถิ่นของเราจะนำท่านเดินทางข้ามเวลาเพื่อเปิดเผยความลับของอารยธรรมเมื่อกว่า 2,000 ปีที่แล้ว ผ่านการชมความยิ่งใหญ่ของโบราณสถานที่ทรงคุณค่าเหล่านี้กลางวัน รับประทานอาหารกลางวันหลังจากนั้น นำท่านชม ดาดัน (Dadan) หนึ่งในอาณาจักรอาหรับโบราณที่ถูกค้นพบโดยนักสำรวจโบราณคดี ซึ่งการขุดค้นได้พบความยิ่งใหญ่ของสุสานและเมืองโบราณของอาณาจักรดาดันไนท์ (Dadanite) ซึ่งมีอายุราวในศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสต์ศักราช ระหว่างทางเราจะผ่านสวนปาล์มอินทผาลัมมากมายที่ช่วยสร้างภูมิทัศน์โอเอซิสให้ดูร่มรื่นมากยิ่งขึ้นแล้วนำท่านชม ภูเขาอิคมาห์ (Jabal Ikmah) สถานที่อันสงบเงียบและศักดิ์สิทธิ์ของชาวลิเฮียน ในอารยธรรมโบราณ Lihyanite เส้นทางการเดินชมบนพื้นที่ระหว่างร่องภูเขาหิน เปรียบได้เป็นห้องสมุดกลางแจ้งที่เต็มไปด้วยศิลปะการจารึกลงบนแผ่นหิน มีทั้งที่เป็นภาพและเป็นข้อความจารึกในภาษาต่างๆ ที่เหล่าผู้แสวงบุญและนักเดินทางที่มาจากที่อื่นๆ จะบันทึกข้อความถึงคนอื่นๆ ข้อความจารึกส่วนใหญ่เขียนด้วยภาษาดาดันนิติค ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้กันในอาณาจักรดาดันไนท์ โดยอักษรที่เขียนจะอ่านจากขวาไปซ้าย มีตัวอักษรทั้งหมด 28 ตัวอักษร ต่อด้วยการแวะไปยังจุดชมวิวที่ ฮารัท อูวาย์ริด (Harrat Uwayrid Viewpoint) ชมทัศนียภาพที่สวยงามของภูมิประเทศของทุ่งภูเขาไฟที่มีพื้นดินกว้างใหญ่และขรุขระ ล้อมรอบด้วยหุบเขาต่างๆโดยรอบ บริเวณพื้นที่ของทุ่งภูเขาไฟแห่งนี้มีขนาดความยาวประมาณ 180 กิโลเมตรและความกว้างประมาณ 90 กิโลเมตร เมื่อได้เวลาพอสมควร นำท่านเดินทางกลับสู่โรงแรมที่พักค่ำ รับประทานอาหารค่ำเข้าสู่โรงแรมที่พัก SAHARY RESORT 4*, AL ULA หรือเทียบเท่า
-
Day 6อัลอูลา - เมดิน่าห์
- เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรมอำลาเมืองอัลอูลา เพื่อเดินทางต่อไปยังเมืองเมดิน่าห์ < 335KMS / 4HRS > เมืองเมดิน่าห์ (Medinah) เดิมชื่อ เมืองยัธริบ (Yathrib) เป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์อันดับ 2 ใน 3 เมืองสำคัญของศาสนาอิสลาม นั่นคือ นครเมกกะห์ และ กรุงเยรูซาเล็ม โดยเป็นเมืองที่เป็นที่ตั้งของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ Al-Masjid al-Nabawi ซึ่งเป็นที่ฝังพระศพของท่านนบีมูฮัมหมัด ศาสดาองค์สุดท้ายของศาสนาอิสลาม มัสยิดแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 622 นอกจากนี้ เมดิน่าห์ยังเป็นที่ตั้งของมัสยิดที่โดดเด่นอีก 2 แห่ง ได้แก่ มัสยิดกูบา (Masjid Quba) ที่เก่าแก่ที่สุดในศาสนาอิสลาม และมัสยิดอัลคิบลาไทยน์ (Masjid al-Qiblatayn) เมดิน่าห์ เป็นเมืองที่มีประชากรมากเป็นอันดับ 4 ของประเทศ ตั้งอยู่ในแคว้นฮิญาช (Hejaz) โดยเมืองนี้ครอบคลุมพื้นที่กว่า 589 ตารางกิโลเมตร ตั้งอยู่ที่ระดับความสูงที่เกือบสามเท่าของนครเมกกะห์ คือ ตั้งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 620 เมตร มีภูเขาอูฮัด (Mount Uhud) เป็นเขาที่สูงที่สุดในเมดิน่าห์ มีความสูงอยู่ที่ 1,077 เมตร ลักษณะภูมิประเทศของเมดิน่าห์ เป็นโอเอซิสกลางทะเลทรายที่ล้อมรอบด้วยเทือกเขาฮิญาชและเนินภูเขาไฟต่างๆ จึงทำให้เป็นสถานที่ที่มีความสวยงามตามธรรมชาติ เสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของเมืองเมดิน่าห์คือ เรื่องความหลากหลายของอาหาร โดยต้องขอบคุณผู้แสวงบุญที่เดินทางมาจากทั่วโลกได้นำเอาวัฒนธรรมอาหารของตนมาสู่เมืองแห่งนี้ จึงเป็นจุดกำเนิดของ “อัลบาอิก” (Albaik) แบรนด์ร้านไก่ทอดแนวฟาสต์ฟู๊ด ของชาวซาอุดิอาระเบียเป็นที่นิยมอย่างมากทั้งในหมู่ชาวเมือง นักจาริกแสวงบุญ และนักท่องเที่ยวในปัจจุบัน และเราต้องไม่พลาดในการให้ท่านได้มีโอกาสลิ้มลองทานดูอย่างแน่นอนกลางวัน รับประทานอาหารกลางวันบ่าย นำท่านแวะชม ภูเขาอูฮัด (Mount Uhud) ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองเมดิน่าห์ มีความสูง 1,077 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ที่นี่เป็นสถานที่เกิดเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ คือ การต่อสู้ระหว่างชาวมุสลิมในเมืองเมดิน่าห์กับผู้ที่ไม่นับถือในองค์ศาสดาแห่งศาสนาอิสลามที่เดินทางมาจากเมกกะห์ เหตุการณ์สู้รบเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 มีนาคม ค.ศ. 625 ให้ท่านได้ฟังเรื่องราวของการต่อสู้ในครั้งนั้น โดยละเอียดจากมัคคุเทศก์ท้องถิ่นแล้วนำท่านเยี่ยมชม พิพิธภัณฑ์ ดาร์ อัล เมดิน่าห์ (Dar Al Medinah Museum) หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมในซาอุดิอาระเบีย เป็นพิพิธภัณฑ์ส่วนตัวของ Abdul-Aziz bin Abdul-Rahman bin Ibrahim Kaki พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เน้นที่ประวัติศาสตร์เรื่องราวของเมืองเมดิน่าห์ โดยเฉพาะเหตุการณ์สำคัญๆทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับเมือง ภายในมีห้องจัดแสดงอย่างน้อย 14 ห้อง ซึ่งแต่ละห้องเล่าเรื่องที่น่าสนใจเกี่ยวกับมรดกทางวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของผู้คนที่นี่ตั้งแต่ในยุคอดีตที่ผ่านมา การจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ทำได้ดีและน่าสนใจโดยเฉพาะ การให้เห็นว่าเมืองมีความอยู่รอดและมีวิวัฒนาการมาได้อย่างไร รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับประวัติศาสตร์อิสลามที่เกี่ยวกับการอพยพมาของท่านศาสดานบีมูฮัมหมัดมายังเมืองเมดิน่าห์ ตลอดจนเรื่องราวการต่อสู้เพื่อศาสนาอิสลามที่เกิดที่ภูเขาอูฮัด และที่นี่ยังมีการจัดแสดงโบราณวัตถุสำคัญๆ มากกว่า 2,000 ชิ้นอีกด้วยแล้วต่อด้วยการเดินทางไปชมเหล่าศาสนสถานที่สำคัญในเมืองเมดิน่าห์ อาทิ มัสยิดอัล นาบาวี (Al-Masjid al-Nabawi) เป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของศาสนาอิสลาม การได้เข้าเยี่ยมชมสถานที่แห่งนี้ เป็นหนึ่งในความใฝ่ฝันอันสูงสุดของชาวมุสลิมทั่วโลกAl-Masjid al-Nabawī มักเรียกกันอีกชื่อว่า “มัสยิดของท่านศาสดา” เป็นมัสยิดที่สร้างโดยศาสดามูฮัมหมัดในเมืองเมดิน่าห์ เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อันดับสองในศาสนาอิสลาม รองจากมัสยิดอัลฮารอมในเมืองเมกกะห์ (Masjid al-Haram) ปัจจุบันเป็นหนึ่งในมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในโลก เนื่องจากได้มีการก่อสร้างและตกแต่งขยายขนาดให้ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ โดยผู้ปกครองอิสลามในแต่ละยุคแต่ละสมัย มัสยิดเดิมแห่งแรกที่ท่านศาสดาได้ร่วมสร้าง เป็นอาคารเปิดโล่งและมีขนาดเล็กกว่าปัจจุบันกว่า 100 เท่าสามารถจุผู้คนรองรับผู้มาทำละหมาดได้ถึงกว่าครึ่งล้านคน (เรานำท่านชมแต่เพียงภายนอกเท่านั้น สถานที่ศักดิ์สิทธิ์นี้เปิดให้เฉพาะชาวมุสลิมเข้าได้เท่านั้น)จากนั้นนำชม มัสยิดกูบา (Masjid Quba) มัสยิดที่เก่าแก่ที่สุดในศาสนาอิสลาม เป็นมัสยิดที่ตั้งอยู่ชานเมืองเมดิน่าห์ ในเขตหมู่บ้านกูบา ท่านศาสดามูฮัมหมัดใช้เวลา 14 วันในมัสยิดแห่งนี้ เพื่อทำละหมาดระหว่างรอท่านอาลีเดิน ทางมาถึงเมดิน่าห์ นอกจากนี้มัสยิดแห่งนี้ยังกล่าวกันว่า เป็นสถานที่ละหมาดวันศุกร์แรกที่นำโดยท่านนบีมูฮัมหมัดต่อด้วยการชม มัสยิดอัลคิบลาไทยน์ (Masjid al-Qiblatayn) เป็นมัสยิดในเมืองเมดิน่าห์ที่ชาวมุสลิมเชื่อว่าเป็นสถานที่ที่พระศาสดาของศาสนาอิสลามคนสุดท้าย ท่านนบีมูฮัมหมัดได้รับคำสั่งให้เปลี่ยนกิบลัต Qiblat (ตำแหน่งทิศทางการอธิษฐาน) จากกรุงเยรูซาเล็มเป็นนครเมกกะห์ มัสยิดถูก สร้างขึ้นโดย Sawad ibn Ghanam ibn Ka'ab ในช่วงระหว่างปี ค.ศ.623 และที่นี่เป็นหนึ่งในมัสยิดไม่กี่แห่งในโลกที่มีมิหร็อบ (Mihrab) ช่องทิศทางของการละหมาดที่ระบุตำแหน่งของกิบลัตสองแห่งในทิศทางที่ต่างกัน ต่อมาในปีค.ศ.1987 ในรัชสมัยของกษัตริย์ฟาฮัด มัสยิดแห่งนี้ถูกรื้อถอนและสร้างใหม่ทั้งหมด ในระหว่างการสร้างใหม่ ช่องทิศทางของการละหมาดอันเก่าที่หันหน้าไปทางเยรูซาเล็มก็ถูกรื้อออก เหลือทิ้งไว้แต่ช่องที่หันหน้าไปทางเมกกะห์ มัสยิดแห่งนี้ถือเป็นหนึ่งในมัสยิดที่เก่าแก่ที่สุดในสมัยของท่านมูฮัมหมัด ร่วมสมัยพร้อมกันกับมัสยิดกูบา และมัสยิดอัล นาบาวีค่ำ รับประทานอาหารค่ำเข้าสู่โรงแรมที่พัก MILLENNIUM MADINAH AIRPORT HOTEL 5*, MEDINAH หรือเทียบเท่า
-
Day 7เมดิน่าห์ - เจดดาห์
- เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรมนำท่านเดินทางไปยัง สถานีรถไฟเมืองเมดิน่าห์ (Medinah Al Haramain Train Station)เดินทางสู่ เมืองเจดดาห์ โดย รถไฟขบวนด่วนพิเศษ (Haramain Speed Train) (ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 41 นาที) ท่านจะได้สัมผัสกับประสบการณ์พิเศษในการเดินทางที่แตกต่างจากทางรถยนต์หรือเครื่องบิน เพราะเป็นการเดินทางที่ท่านจะเพลิดเพลินไปกับทัศนียภาพสองข้างทาง โดยรถไฟขบวนด่วนพิเศษนี้สร้างขึ้นเพื่อเชื่อมสองเมืองศักดิ์สิทธิ์ ระหว่างเมืองเมกกะห์ และเมืองเมดิน่าห์ ดำเนินการโดย Saudi Railways Company (SAR) เริ่มในปี ค.ศ. 2018 โดยมีด้วยกัน 4 สถานีหลัก คือ MAKKAH JEDDAH KEAC MADINA ระยะทางรวม 450 กิโลเมตร วิ่งด้วยความเร็ว 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ครั้นเดินทางถึง เมืองเจดดาห์ (Jeddah) เป็นที่รู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่า Arous Al-Bahar หมายถึง “เจ้าสาวแห่งทะเลแดง” เนื่องจากความสวยงามตระการตาของเมืองที่มีทั้งประติมากรรม รูปปั้น ภาพวาด และน้ำพุจำนวนมากตั้งกระจายอยู่ทั่วเมือง เจดดาห์ เป็นเมืองในแคว้นเฮจาซของซาอุดิอาระเบีย เป็นเมืองศูนย์ กลางธุรกิจการค้าของประเทศ และเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศ รองลงมาจากเมืองหลวงริยาดห์ เจดดาห์ยังถือเป็นประตูสู่นครเมกกะห์ โดยอยู่ห่างไปทางทิศตะวันออกแค่ 65 กิโลเมตร ปัจจุบัน เจดดาห์ เป็นหนึ่งในเมืองตากอากาศหลักของซาอุดิอาระเบีย เนื่องจากเมืองนี้อยู่ติดทะเลแดง จึงเป็นเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมในหมู่คนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เพราะนอกจากความสวยงามของเมืองแล้ว อาหารการกินก็อุดมสมบูรณ์อย่างมาก โดยเฉพาะอาหารทะเล จึงทำให้วัฒนธรรมด้านอาหารของเมืองนี้แตกต่างจากส่วนอื่นๆของประเทศ ในภาษาอาหรับ คำขวัญของเมืองคือ "Jeddah Ghair" ซึ่งแปลว่า "Jeddah is different" คำขวัญนี้ใช้กันอย่างแพร่หลาย ทั้งเจดดาห์เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางว่าเป็นเมืองเสรีนิยมมากที่สุดในซาอุดิอาระเบียเดินทางไปชม อัลบาลัด (Al-Balad) ซึ่งเป็นย่านประวัติศาสตร์ที่ถูกเรียกกันว่าย่าน "เมืองเก่า" ที่นี่ มีประตูเมืองและอาคารบ้านเรือนที่เก่าแก่ มีตลาดพื้นเมืองแบบดั้งเดิม มีร้านค้า ร้านอาหารมากมาย ที่นักท่องเที่ยวสามารถเดินเล่นได้อย่างเพลิดเพลินจนลืมเวลาแน่นอน อัลบาลัดในเจดดาห์ ได้รับสถานะเป็น เมืองมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก้ ในปีค.ศ. 2014 อาคารแบบดั้งเดิมหลายแห่ง จึงได้รับการบูรณะและเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชม ในปีค.ศ. 2019 มงกุฎราชกุมารมูฮัมหมัด บิน ซัลมาน แห่งซาอุดิอาระเบีย ได้ออกพระราชกฤษฎีกา สั่งให้กระทรวงวัฒนธรรมทำการบำรุงฟื้นฟูอาคารประวัติศาสตร์กว่า 50 หลังในเมืองเจดดาห์ รวมทั้งมัสยิดเก่าแก่หลายแห่งที่สร้างในยุคสมัยที่แตกต่างกัน มีพิพิธภัณฑ์ที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองที่เรียกว่า บ้านนาซีฟ (Naseef House) ซึ่งจัดแสดงเฟอร์นิเจอร์โบราณและการออกแบบอาคาร ในรูปแบบของสถาปัตยกรรมท้องถิ่นในช่วงสมัย 150 ปีที่ผ่านมา เราจะพาท่านแวะเข้าไปชมกันกลางวัน รับประทานอาหารกลางวันจากนั้นชม พิพิธภัณฑ์ทายยิบัต (Tayyibat Museum) ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ส่วนตัว 4 ชั้นที่มีการเก็บรวบรวมเรื่องราวและสิ่งของต่างๆที่น่าสนใจมากมาย โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับเมืองเจดดาห์ ภายในมีการจัดแสดงโบราณวัตถุก่อนในยุคสมัย ก่อนอิสลาม พระคัมภีร์ของศาสนาอิสลาม เหรียญตรา อาวุธยุทโธปกรณ์โบราณ ตลอดจนเครื่องเฟอร์นิเจอร์ที่สวยงาม เครื่องปั้นดินเผา และเครื่องแต่งกายโบราณของชาวซาอุดิอาระเบีย นอกจากนี้ยังมีการจำลองบ้านเรือนของทุกภูมิภาค การจัดแสดงที่นี่มีการบอกเล่าให้ข้อมูลได้อย่างดีเยี่ยมอีกหนึ่งจุดหมายที่ไม่ควรพลาดที่ต้องนำท่านไปเยือน คือ เจดดาห์ คอร์นิช (Jeddah Corniche) หรือที่รู้จักในชื่อ เจดดาห์ วอเตอร์ ฟรอนท์ (Jeddah Waterfront) เป็นสถานที่พักตากอากาศริมชายฝั่งของเมืองเจดดาห์ มีความยาวประมาณ 30 กิโลเมตร ตั้งอยู่ริมทะเลแดง มีถนนเลียบชายฝั่งยาวตลอดเส้น พื้นที่แห่งนี้ได้ถูกพัฒนาให้เป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจของชาวเมือง รวมทั้งเป็นแหล่งท่องเที่ยวของเมืองเจดดาห์ มีการสิ่งอำนวยความสะดวกขึ้นมากมาย อาทิเช่น ร้านอาหาร ร้านค้า โรงแรม พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ ศูนย์วัฒนธรรม สวนดอกไม้ และประติมากรรมขนาดใหญ่ต่างๆ (รวมถึงป้ายชื่อเมืองเจดดาห์ที่ใหญ่โดดเด่นสะดุดตา)ตลอดจน น้ำพุกษัตริย์ฟาฮัด (King Fahad Fountain) ซึ่งเป็นน้ำพุที่มีความสูงที่สุดในโลก โดยพ่นน้ำได้สูงถึง 312 เมตร ทำให้สามารถมองเห็นได้อย่างเด่นชัดจากจุดต่างๆ ในย่านบริเวณคอร์นิช แม้แต่ในระยะไกล ให้ท่านได้มีเวลาเดินเล่นถ่ายรูปตามอัธยาศัยจากนั้นนำท่านชม มัสยิดอัลราห์มา (Al Rahma Mosque) หรือที่รู้จักในอีกชื่อว่า มัสยิดฟาติมา อัล ซาห์รา (Fatima Al Zahra Mosque) มัสยิดที่เป็นเสมือนแลนด์มาร์คอีกแห่งหนึ่งของเจดดาห์ เนื่องด้วยความสวยงามของโครงสร้างสถาปัตยกรรมสีขาวที่ประดับโดดเด่นด้วยโดมสีฟ้าครามและหอขานสูงตระหง่านสีขาวตั้งอยู่ปลายสุดของถนนคอร์นิช (Corniche Road) บนพื้นดินบริเวณปลายติ่งที่ติดกับทะเลแดง มีทางเดินที่เป็นกำแพงเตี้ยๆ ทอดยาวออกไปจากชายฝั่ง และเป็นที่รู้จักกันในนาม “มัสยิดลอยน้ำ” (Jeddah Floating Mosque) เพราะในช่วงเวลาน้ำขึ้น ตัวมัสยิดดูเหมือนจะลอยอยู่เหนือคลื่นของน้ำในทะเลแดงเบื้องล่าง สร้างขึ้นในปีค.ศ.1985 รูปแบบสถาปัตยกรรมเป็นแบบผสมผสานระหว่างอิสลามโบราณและสมัย ใหม่ ภายในมัสยิดมีลานกว้างที่ท่านสามารถมอง เห็นทัศนียภาพอันงดงามของชายฝั่งทะเลแดงและเพลิดเพลินบรรยากาศยืนรับลมทะเลพร้อมฟังเสียงคลื่นซัด สร้างความ สุขสงบให้กับผู้มาเยือนทุกคน ด้วยเหตุนี้ ที่นี่จึงได้รับความนิยมในหมู่ผู้แสวงบุญที่มาทำพิธีฮัจญ์และอุมเราะห์ในการมาแวะชมสถานที่แห่งนี้ก่อนเดินทางไปยัง 2 เมืองศักดิ์สิทธิ์ เมกกะห์และเมดิน่าห์ ไม่เว้นแม้แต่นักท่องเที่ยว ด้วยเช่นกัน จึงเป็นหนึ่งในมัสยิดที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดของเมืองเจดดาห์ในปัจจุบันเมื่อได้เวลาอันสมควร เดินทางต่อไปยัง มัสยิดอัลชาฟี (Al Shafi Mosque) มัสยิดที่เก่าแก่ที่สุดในเจดดาห์ มัสยิดนี้ได้รับการบูรณะและบำรุงรักษาอย่างสวยงาม เป็นมัสยิดที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในเจดดาห์ ตั้งชื่อตาม 1ใน 4 อิหม่ามผู้ยิ่งใหญ่ของศาสนาอิสลาม อาคารสถาปัตยกรรมส่วนใหญ่สร้างในช่วงศตวรรษที่ 16 ในสไตล์ออตโตมัน แต่อย่างไรก็ตามมัสยิดถูกสร้างขึ้นครั้งแรกในยุคแรกของศาสนาอิสลามเมื่อราวเกือบ 1,400 ปีมาแล้วค่ำ รับประทานอาหารค่ำเข้าสู่โรงแรมที่พัก PARK INN BY RADISSON MADINAH HOTEL 4*, JEDDAH หรือเทียบเท่า
-
Day 8เจดดาห์ - ทาอีฟ - เจดดาห์
- เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรมนำท่านออกเดินทางไปยัง เมืองทาอีฟ (Taif) ซึ่งอยู่ในเขตปกครองของจังหวัดเมกกะห์ ตั้งอยู่บนความสูง 1,879 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล บนแนวลาดของเขาฮิญาช (Hejaz) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาซาราวัค “ทาอีฟ” เป็นเมืองเก่าแก่นับพันปีเมืองหนึ่งที่มีความสำคัญมากในอดีต เพราะตั้งอยู่บนทางแยกของถนนสายประวัติศาสตร์ที่สำคัญที่สุดสองสายของคาบสมุทรอาหรับ นั่นคือ ถนนสายการค้ากำยานโบราณที่มีต้นทางจากเยเมนเมื่อกว่า 3,000 ปีที่แล้ว และถนนสายแสวงบุญสู่เมกกะห์ ที่นักจาริกแสวงบุญใช้ในการสัญจรผ่านไปมาเพื่อไปสู่นครเมกกะห์ นอกจากนี้ที่นี่ยังได้รับสมญานามว่าเป็น เมืองหลวงฤดูร้อนของซาอุดิอาระเบีย เนื่องด้วยสภาพภูมิอากาศที่ค่อนข้างเย็นสบายตลอดปี แม้กระทั่งในช่วงฤดูร้อน ผู้คนจึงนิยมมาพักผ่อนที่นี่ ทำให้มีโรงแรมที่พักและรีสอร์ตเกิดขึ้นหลายแห่ง นอกจากนี้ทาอีฟยังเป็นแหล่งเพาะ ปลูกที่สำคัญของประเทศ ผลิตผลทางการเกษตรที่สำคัญหลากหลายชนิดมาจากที่นี่ อาทิเช่น องุ่น ทับทิม มะเดื่อ น้ำผึ้ง และเมืองนี้ยังได้ชื่อว่าเป็น เมืองแห่งดอกกุหลาบ อีกด้วย จึงทำให้ที่นี่เป็นแหล่งผลิตน้ำมันหอมระเหยดอกกุหลาบที่มีคุณภาพเยี่ยมแห่งหนึ่งของโลก นำชม พระราชวังชูบรา (Shubra Palace) เป็นพระราชวังเก่าแก่ สร้างในปีค.ศ.1905 โดย Ali bin Abdullah bin Aoun Pashar ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ติดถนนชูบรา ซึ่งเป็นหนึ่งในถนนสายหลักที่สำคัญที่สุดในเมือง พระราชวังแห่งนี้เป็นเสมือนพระราชวังฤดูร้อนของกษัตริย์อับดุลอาซิซ และเหล่าเชื้อพระวงศ์ ตัวอาคารสีขาวมีความโดดเด่นและสวยงามมาก เป็นรูปแบบการผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมอาหรับและโรมาเนียอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ตัวอาคารมีสี่ชั้น ล้อม รอบด้วยสวนและรั้วที่มีภาพแกะสลักแบบโรมัน มีระเบียงไม้และหน้าต่างที่ประดับประดาด้วยลายไม้แกะสลักงดงาม ภายในมีห้องพักมากกว่าร้อยห้อง และมีทางเข้าหลายทาง ที่สร้างด้วยหินอ่อนจากอิตาลี ส่วนของทางเดินและเพดาน เป็นสถาปัตยกรรมแบบอิสลาม ในขณะที่บริเวณส่วนหลังคาของพระราชวัง เป็นสถาปัตยกรรมแบบโรมัน ปัจจุบันพระราชวังแห่งนี้ได้ถูกเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เก็บโบราณวัตถุในยุคอิสลามตอนต้น รวมทั้งของล้ำค่า เช่น อัญมณี เงิน และเหรียญทอง ตราประทับ เครื่องใช้ในครัวเรือน และอาวุธโบราณ เช่น มีด ดาบ หอก และโล่ เป็นต้น จากนั้นนำท่านไปยัง โอกาซ ซุค (Okaz Souq) ตลาดพื้นเมืองโบราณ ในอดีตเป็นตลาดกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดและรู้จักกันดีในโลกของอิสลาม ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวหลายพันคนจากทั่วโลกมาเยี่ยมชม โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลของโอกาซ ซุค (Okaz Souq Festival) ซึ่งเป็นงานประเพณีที่จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ทุกปี จะมีการแข่งขันการบรรยายบทกวี นิทรรศการงานศิลปะและงานฝีมือ ดอกไม้และกล้วยไม้ที่ปลูกในเมืองทาอีฟ เป็นต้นเดินทางต่อไปเยี่ยมชม โรงงานดอกกุหลาบ (Rose Factory) ที่นี่ท่านสามารถหาซื้อน้ำมันหอมระเหยดอกกุหลาบ (Rose Oil) หรือ น้ำดอกกุหลาบ (Rose Water) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงในระดับโลกของเมืองทาอีฟและประเทศซาอุดิอาระเบียกลางวัน รับประทานอาหารกลางวันบ่าย นำท่านชมย่านเมืองเก่าของทาอีฟ บริเวณ ประตูเมืองเก่าทาอีฟ (Bab Alrea) ซึ่งเป็นรูปแบบประตูโค้งสามส่วน ปากทางเดินเข้าไปยังตลาดเก่าของเมือง ที่ขายพวกพืชผักผลไม้และเครื่องเทศต่างๆจากนั้นเดินทางไปยังเขต ภูเขาอัล ชาฟา (Al Shafa) และภูเขาอัล ฮาดา (Al Hada) ซึ่งเป็นพื้นที่ภูเขาสูงชัน เส้นทางถนนบนภูเขาที่นี่คดเคี้ยวสวยงาม และในมีความสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคนี้ภูเขาอัล ชาฟา เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในเขตเมือง คนทั่วไปรู้จักกันในนาม จาบัล ดักกา (Jabal Dakka)ทิวทัศน์ในบริเวณนี้สวยงาม อุดมไปด้วยธรรมชาติที่สมบูรณ์ ทั้งพืชพันธุ์สมุนไพร ต้นไม้ พุ่มไม้หลากชนิดที่เติบโตขึ้นทุกหนทุกแห่ง และยังสามารถสัมผัสได้ถึงอากาศเย็นสบายโดยรอบบริเวณจากนั้น นำท่านนั่งรถกระเช้าไฟฟ้า (Cable Car) ขึ้นไปยังยอดเขาเพื่อชมวิวทิวทัศน์ของ ภูเขาอัล ฮาดา (Al Hada Mountain) ซึ่งด้านบนมีร้านอาหารและโรงแรมหรูตั้งอยู่ (เราขอสงวนสิทธิ์ในการยกเลิกการขึ้นรถกระเช้าไฟฟ้า ในกรณีที่อากาศไม่อำนวย ทัศนวิสัยไม่ดี)ได้เวลาพอสมควร เดินทางกลับโรงแรมที่พักในเมืองเจดดาห์ เพื่อพักผ่อนตามอัธยาศัยค่ำ รับประทานอาหารค่ำเข้าสู่โรงแรมที่พัก PARK INN BY RADISSON MADINAH HOTEL 4*, JEDDAH หรือเทียบเท่า
-
Day 9เจดดาห์ - กรุงเทพฯ
- 01.30 น. เช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรม เดินทางไปยังสนามบินนานาชาติ Jeddah King Abdulaziz Int’l Airport เตรียมตัวเช็คอินสำหรับเที่ยวบินระหว่างประเทศ เพื่อเดินทางกลับสู่ประเทศไทย04.45 น. เหินฟ้าสู่ กรุงเทพฯ ประเทศไทย โดยสายการบิน SAUDIA เที่ยวบินที่ SV844 (04.45-17.00) (ใช้เวลาบิน 8 ชั่วโมง 15 นาที) (บริการอาหารบนเครื่อง)17.00 น. เดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิโดยสวัสดิภาพ