ทัวร์ซาอุดิ อาระเบีย 9 วัน เที่ยวซาอุ ดิ เจาะลึก 2567
ทัวร์
ตะวันออกกลาง
ระยะเวลา
9 วัน 7 คืน
สายการบิน
วันเดินทาง
10-18 ตุลาคม 2567
Hilight

พูดถึง ทัวร์ซาอุดิอาราเบีย ในด้านการท่องเที่ยว  เรานึกถึงภาพอะไรในตอนนี้ หลายคนคิดถึงภาพสองนครศักดิ์สิทธิ์ในโลกของมุสลิม คือ เมกกะห์ (Mekkah) และ เมดิน่าห์ (Medinah) สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่นักแสวงบุญชาวมุสลิมเดินทางไปทำพิธีอุมเราะห์และพิธีฮัจญ์อันศักดิ์สิทธิ์ประจำทุกปี ความจริงแล้ว ซาอุ ดิอาระเบีย เป็นประเทศที่มีสถานที่ท่องเที่ยวหลากหลายมากจริงๆ มีทั้งแนวเที่ยวชมแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นมรดกโลกขององค์การยูเนสโก้ ซึ่งมีมากมายหลายแห่งเลยทีเดียว ถ้าใครเป็นสายชอบเที่ยวธรรมชาติ ที่นี่ก็มีแหล่งท่องเที่ยวแนวสวยแบบธรรมชาติที่กลุ่มโฟโต้จีนิกต้องไม่พลาด อย่างเช่น ทะเลทรายสุดขอบฟ้า The Edge of the World (Jebel Fihrayn) ที่เส้นตัดขอบฟ้ามองไปได้ไกลสุดลูกหูลูกตา เราจึงขออาสาจัดไป ทัวร์ซาอุดิ อาระเบีย เที่ยวซาอุ ดิ ไปซาอุ ดิอาระเบีย เจาะลึกไปกับโกลบอล ฮอลิเดย์ แนะนำ ทัวร์ ไป ซา อุดิ อารา เบีย ที่จะพาไปได้ครบและส้มผัสประสบการณ์ใหม่ที่แตกต่าง 

แผนการท่องเที่ยว
  • Day 1
    กรุงเทพฯ
    • 21.00 น. พร้อมกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ เคาน์เตอร์สายการบิน ซาอุดิอาระเบียน แอร์ไลน์ โดยมีเจ้าหน้าที่บริษัทคอยให้การต้อนรับและอำนวยความสะดวกในการเช็คอินด้านสัมภาระและเอกสารให้กับท่าน 
      **ท่านต้องเตรียมเอกสารรับรองการฉีดวัคซีนโควิด-19 <วัคซีนพาสปอร์ต> ให้พร้อมเพื่อใช้ในการเช็คอิน**
  • Day 2
    กรุงเทพ - ริยาดห์
    • 00.15 น. เหินฟ้าสู่ กรุงริยาดห์ โดยสายการบิน SAUDIA เที่ยวบินที่ SV847 (00.15-03.15) 
      (ใช้เวลาบิน 7 ชั่วโมง) 
      03.15 น. เดินทางถึงสนามบินนานาชาติ Riyadh King Khalid International Airport 
      (กรุณาปรับนาฬิกาตามเวลาท้องถิ่น เวลาที่ซาอุดิอาระเบีย ช้ากว่า เวลาที่ประเทศไทย 4 ชั่วโมง)
      หลังผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองพร้อมรับกระเป๋าสัมภาระเรียบร้อยแล้ว พบไกด์ท้องถิ่น นำท่านเดินทางสู่โรงแรมที่พัก เพื่อล้างหน้าตาให้สดชื่น พร้อมกับฝากกระเป๋าเดินทางไว้ที่โรงแรม (ไม่ทำการเช็คอินเข้าห้องพัก)
      เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
      ขอต้อนรับท่านสู่ เมืองริยาดห์ (Riyadh) เมืองหลวงแห่งประเทศซาอุดิอาระเบีย เป็นหนึ่งในเมืองใหญ่บนคาบสมุทรอาหรับ เมืองนี้ตั้งอยู่ใจกลางทะเลทรายอัน-นาฟุด ทางทิศตะวันออกของที่ราบสูงนาจด์ อยู่เหนือระดับน้ำทะเลโดยเฉลี่ย 600 เมตร เป็นเมืองที่มีจำนวนประชากรมากที่สุดในซาอุดิอาระเบีย และเป็นอันดับ 3 ในตะวันออกกลาง 
      ริยาดห์ เป็นทั้งศูนย์กลางทางการเมืองและการบริหารของซาอุดิอาระเบีย สภาที่ปรึกษา (หรือที่เรียกว่าสภาชูรา) คณะรัฐมนตรีของซาอุดิอาระเบีย พระมหากษัตริย์ และสภาตุลาการสูงสุดของซาอุดิอาระเบีย ล้วนตั้งอยู่ในเมืองนี้ รวมทั้งสถานทูตจากประเทศต่างๆ 112 แห่ง นอกจากนี้เมือง ริยาดห์ยังมีความสำคัญทางเศรษฐกิจอย่างมาก เนื่องจากเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ของธนาคารและบริษัทขนาดใหญ่หลายแห่ง
      จากนั้นเดินทางไปชม อัล ดิริยะห์ (Al Diriyah) 
      เป็นเมืองหลวงของอาณาจักรแห่งแรกของราชวงศ์ซาอุดิอาระเบีย เป็นจุดตัดบนเส้นทางของนักจาริกแสวงบุญและพ่อค้าบนเส้นทางการค้าสำคัญในอดีต ที่นี่เป็นสถานที่ที่รัฐบาลให้ความใส่ใจในการทำงานค้นหามรดกทางประวัติศาสตร์อย่างจริงจังและต่อ เนื่องมาโดยตลอดภายหลังจากที่ อัล ดิริยะห์ ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็น มรดกโลก โดยองค์การยูเนสโก้ (UNESCO World Heritage Site) ในปี ค.ศ. 2010 เมืองโบราณแห่งนี้ตั้งอยู่ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของริยาดห์ และพื้นที่ส่วนของเมืองโบราณดิริยะห์ ตั้งอยู่บนพื้นที่ของหุบเขาแคบๆ ที่เรียกว่า Wadi Hanifa ซึ่งเป็นบริเวณที่มีทั้งสวนปาล์มและสวนพืชผลไม้ต่างๆ ผสมผสานไปกับอาคารบ้านเรือน โครงสร้างสถาปัตยกรรม ของเมืองเก่าแห่งนี้เกือบทั้งหมดเป็นโครงสร้างดิน ส่วนเมืองใหม่ในปัจจุบันก็ถูกสร้างขึ้นในระดับ  ความสูงที่อยู่ต่ำกว่า 
      นำท่านชม พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติซาอุดิอาระเบีย (National Museum of Saudi Arabia)   ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปีค.ศ.1999 พิพิธภัณฑ์หลักของเมืองริยาดห์นี้ เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานประวัติศาสตร์แห่งกษัตริย์อับดุลลาซิส ซึ่งเป็นสถานที่กว้างใหญ่ ภายในประกอบไปด้วยอาคารในสถาปัตยกรรมที่ทันสมัยและสวนที่ถูกจัดไว้อย่างสวยงาม ส่วนตัวพิพิธภัณฑ์ มีความน่าสนใจในการจัดแสดงเรื่องราวต่างๆที่สำคัญ เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของชาติ ตั้งแต่เริ่มแรกก่อตั้งอาณาจักร เรื่องราวของราชวงศ์ซาอุดิอาระเบีย รวมทั้งบริบททางการ เมืองที่ผ่านมาของประเทศ นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดงวัตถุโบราณล้ำค่าของชาติไว้มากมาย ที่จัดแสดงตามช่วงเวลาของประวัติศาสตร์ ภายในพิพิธภัณฑ์นั้นจะประกอบด้วยห้องโถงนิทรรศการหลักแบ่งเป็น 8 ห้อง ได้แก่ ห้องกำเนิดมนุษย์และจักรวาล ห้องยุคต่างๆของเหล่าอาณาจักรอาหรับ ห้องประวัติศาสตร์ยุคก่อนอิสลาม ห้องพันธกิจของท่านศาสดามูฮัมหมัดต่อศาสนาอิสลาม ห้องรัฐซาอุดิอาระเบียแห่งแรก ห้องกำเนิด ราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบีย รวมถึงการจำลองหอฮัจญ์ และมัสยิดศักดิ์สิทธิ์สองแห่งของประเทศ 
      สิ่งล้ำค่าชิ้นเอกในพิพิธภัณฑ์ ได้แก่ โครงกระดูกช้างยุคก่อนประวัติศาสตร์ อุกกาบาตขนาดใหญ่ที่พบในเขตทะเลทรายของประเทศ หินแกะสลักภาพเขียนโบราณยุคก่อนอิสลาม เป็นต้น   จากนั้นนำท่านเดินชมสวนสวยกลางแจ้งภายในเขตอุทยานประวัติศาสตร์แห่งนี้ และเดินผ่านไปยัง หอของกษัตริย์อับดุลลาซิส ซึ่งมีรถยนต์พระที่นั่งประจำพระองค์ของกษัตริย์จัดแสดงอยู่มากมาย

      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน
      บ่าย ไม่ไกลออกไปจากพิพิธภัณฑ์ฯ เป็นที่ตั้งของพระราชวังที่สวยงามแห่งหนึ่ง คือ พระราชวังมูร์ราบา (Murraba Palace) ที่นี่เป็นหนึ่งในพระราชวังที่สําคัญที่สุด ที่สร้างขึ้นโดยกษัตริย์อับดุลลาซิส พระราชวังแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นพระราชฐานที่ประทับส่วนพระองค์และเชื้อพระวงศ์ในอดีต 
      ตัวพระราชวังสร้างขึ้นในรูปแบบสถาปัตยกรรมพื้นเมืองสไตล์นัจญด์ (Najdi) โดยใช้วัสดุก่อสร้างที่มีเฉพาะในท้องถิ่นเท่านั้น Murraba Palace ถูกเรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า Qasr al Murabba ซึ่งแปลว่า สี่เหลี่ยมจัตุรัส ดังนั้นชื่อของพระราชวังได้มาจากการออกแบบรูปแบบโครงสร้างพื้นที่ให้เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส โดยมีขนาด 400 x 400 เมตร 
      จากนั้นนําท่านสัมผัสวิถีชีวิตชาวซาอุ พาเดินชม ตลาดอัล ซัล  (Al Zal Traditional Flea Market) ตลาดซาอุดิอาระเบียดั้งเดิมที่สร้างมานานนับร้อยกว่าปี (ค.ศ.1901) มีชื่อเสียงในเรื่องของการเป็นตลาดที่มีสินค้าพร้อมสรรพมากที่สุด และเก่าแก่ที่สุด และมีผู้คนไปใช้มากที่สุดของเมืองริยาดห์ ที่นี่มีข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันตามวิถีแห่งวัฒนธรรมประเพณีของชาวซาอุครบครันทุกสิ่ง ตั้งแต่ น้ำหอม พรมทอมือ เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายพร้อมอาวุธของบุรุษเพศ รองเท้าแตะหนัง กระถางธูป รวมทั้งอาวุธและข้าวของใช้โบราณเก่าเก็บแบบแอนทีคสุดๆ ก็หาได้ที่ตลาดแห่งนี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่ผู้คนที่มาเยือนเมืองริยาดห์ ต้องมาเยี่ยมชมตลาดโบราณที่มีชีวิตชีวาเพราะเต็มไปด้วยสิ่งที่น่าสนใจในตลาดแห่งนี้   
      นำท่านเดินทางไปยัง ป้อมปราการอัล มาสมาค (Al Masmak) สถานที่แห่งนี้เป็นเสมือนหนึ่งในแลนด์มาร์คที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของซาอุ ดิอาระเบีย ปัจจุบันถูกใช้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ผู้เข้าชมจะเพลิดเพลินไปกับเรื่องราวประวัติความเป็นมาของการก่อร่างสร้างชาติ ในบรรยากาศการจัดแสดงเสมือนการนำผู้ชมย้อนเวลากลับไปหาอดีตรากเหง้าของชาวซาอุดิอาระเบีย ภายในมีการจัดแสดงสิ่งของต่างๆ ที่สำคัญ อาทิ เครื่องแต่งกาย และอาวุธยุทโธปกรณ์โบราณ เช่น มีด ดาบ ปืนโบราณ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดงแผนที่และภาพถ่ายที่สำคัญๆ ของชาติไว้อีกด้วย ป้อมปราการดินแห่งนี้ เดิมถูกสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1865 โดยเจ้าชายอับดุลรามัน อิบิน สุไลมาน อัลดาบาน โดยได้ผ่านเหตุการณ์สำคัญในหน้าประวัติศาสตร์การรวมชาติ ในช่วงสงครามการต่อสู้ครั้งสำคัญในริยาดห์ The Battle of Riyadh ซึ่งครั้งนั้นป้อมฯได้ถูกยึดโดยกษัตริย์อับดุล อาซิซ ต่อมาในปี ค.ศ.1995 ที่แห่งนี้ได้ถูกเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์จวบจนกระทั่งปัจจุบัน 
      ก่อนจบวัน พาท่านแวะชม วิวเมืองริยาดห์ในมุมสูงที่อาคาร Kingdom Tower หรือ Kingdom Centre เป็นอาคารสูง 41 ชั้น หรือ 302.3 เมตร ตั้งอยู่บน King Fahad Road ถนนสายหลักของเมืองริยาดห์ อาคารนี้มีจุดชมวิวเมืองที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างสองยอดปลายแหลมของอาคาร ที่เรียกว่า The Sky Bridge ด้วยความโดดเด่นของรูปแบบอาคาร ทำให้ถูกจัดเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คที่น่าสนใจของเมืองริยาดห์ที่มีผู้มาเยือนตลอดเวลาไม่ขาดสาย

      ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ
      เข้าสู่โรงแรมที่พัก CENTRO WAHA RIYADH HOTEL 4*, RIYADH หรือเทียบเท่า
  • Day 3
    ริยาดห์ - ยอดเขาฟีรานย์ (The Edge of the World) - หมู่บ้านโบราณ Ushaiger
    • เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม 
      หลังอาหารเช้า เดินทางมุ่งหน้าสู่ ยอดเขาฟีรานย์ (Jebel Fihrayn) ที่รู้จักกันแพร่หลายในชื่อ "ดินแดนสุดขอบโลก" The Edge of the World เป็นสิ่งมหัศจรรย์ทางธรณีวิทยาที่น่าทึ่งแห่งหนึ่งของซาอุดิอาระเบีย ตั้งอยู่ห่างจากริยาดห์ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ ประมาณ 120 กิโลเมตร ยามเมื่อท่านยืนอยู่ตรงหน้าผาสูงชัน สายตามองทอดยาวไกลผ่านผืนทะเลทรายอันกว้างใหญ่นั้น ท่านจะมองเห็นเส้นสุดขอบฟ้าในทุกทิศทางแบบ 360 องศา นั่นเสมือนราวกับว่าท่านยืนอยู่ที่ขอบโลกอันยิ่งใหญ่ที่เปล่งพลังให้กับร่างกายและจิตวิญญาณ เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่จะทําให้ท่านมีความประทับใจไม่รู้ลืม 

      กลางวัน     รับประทานอาหารกลางวัน 
      บ่าย เดินทางต่อไปยัง หมู่บ้านโบราณอูชัยเกอร์ ระหว่างทางแวะชม บ่อเกลือ (Salt Marsh) ดูวิธีการ ทำนาเกลือ โดยการสกัดเกลือออกจากพื้นดินเค็ม เป็นวิธีการปฏิบัติต่อกันมาอย่างยาวนานของชาวพื้นเมืองอาหรับที่นี่      
      เดินทางถึง หมู่บ้านโบราณอูชัยเกอร์ (Ushaiger Heritage Village) “อูชัยเกอร์” เป็นหมู่บ้านโบราณ ที่ตั้งอยู่ใจกลางของแคว้นนัจญด์ (Najdi) ห่างจากเมืองริยาดห์ราว 200 กิโลเมตร ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นเขตที่ราบสูงตอนกลางของคาบสมุทรอาหรับ ในสมัยก่อนเมื่อประมาณ 1,500 ปีที่ผ่านมา ชนเผ่าเร่ร่อนเบดูอินเคยมาตั้งหลักแหล่งอยู่ที่นี่ก่อน ต่อมาก็กลายเป็นจุดแวะพักของนักจาริกแสวงบุญที่เดินทางไปยังเมกกะห์ เพราะความร่มรื่นและอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่บริเวณโดยรอบ
      คำว่า “Ushaiger” แปลว่า “สีทองบลอนด์อ่อนๆ” ซึ่งเป็นการตั้งชื่อตามสีของเนินเขาเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ทางเหนือของหมู่บ้าน แม้ว่าเนินเขาที่แท้จริงเป็นหินสีแดง แต่คนในท้องถิ่นกล่าวว่าภาษาอาหรับคำสำหรับสีแดง สามารถใช้ทดแทนกับสีทองบลอนด์ในสมัยก่อนได้เช่นกัน
      หมู่บ้านแห่งนี้ล้อมรอบด้วยกำแพงหนาทึบ ที่มีหอคอยขนาดใหญ่ และมีประตูไม้ขนาดใหญ่ การเดินชมต้องเดินผ่านประตูหลักเพื่อเข้าสู่ใจกลางของหมู่บ้าน ภายในแบ่งเป็น 7 เขตโซน มีบ้านดิน 400 หลัง และมัสยิด 25 แห่ง และมีการทำสวนปาล์มและสวนผลไม้มากมาย เส้นทางการเดินเยี่ยมชมหมู่บ้านจึงเต็มไปด้วยร่มเงา เส้นทางเดินภายในคดเคี้ยวไปมาคล้ายเขาวงกต บ้านบางหลังมีประตูโบราณที่ตกแต่งด้วยตราสัญลักษณ์และลวดลายเรขาคณิตแบบดั้งเดิมที่สวยงามมาก องค์ประกอบต่างๆเหล่านี้ จึงทำให้เป็นหมู่บ้านประวัติศาสตร์แห่งนี้มีเสน่ห์อย่างมากเลยทีเดียว นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นถิ่นกำเนิดบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์หลายคน อาทิ นักบวชอิสลามที่มีชื่อเสียง Muhammad ibn Abdul-Wahab และนักวิชาการอิสลาม Sheikh Al-Othaimeen ทั้งนักกวีและนักคิดชาวอาหรับอีก หลายคน หลังจากเดินสำรวจชมหมู่บ้านที่สวยงามแห่งนี้แล้ว ได้เวลาเดินทางกลับไปยังเมืองริยาดห์ 

      ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ 
      เข้าสู่โรงแรมที่พัก CENTRO WAHA RIYADH HOTEL 4*, RIYADH หรือเทียบเท่า
  • Day 4
    ริยาดห์ - อัลอูลา
    • เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม 
      หลังอาหารเช้า นำท่านเดินทางไปยังสนามบิน Riyadh King Khalid International Airport เพื่อบินไปยังเมืองอัลอูลา (Al Ula) 
      09.20 น. เหินฟ้าสู่ อัลอูลา โดยสายการบิน SAUDIA เที่ยวบินที่ SV1574 (09.20-11.00) (ใช้เวลาบิน 1 ชั่วโมง 40 นาที) 
      11.00 น. เดินทางถึงสนามบิน Prince Abdul Majed Airport ในเมืองอัลอูลา นำท่านเดินทางมุ่งสู่ อัลอูลา (Al Ula) < 30KMS / 30MIN > เมืองที่ถูกจัดให้เป็น เมืองมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก้ (UNESCO World Heritage Site) เป็นแห่งแรกของซาอุดิอาระเบีย ตั้งอยู่ท่ามกลางทะเลทรายลึกในแถบตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ สถานที่แห่งนี้นอกเหนือจากความมหัศจรรย์ของเทือกเขาหินทราย ร่องโตรกภูผาที่ธรรมชาติได้ปั้นแต่งขึ้นอย่างสวยสดงดงามแล้วที่ อัลอูลายังเต็มไปด้วยสิ่งที่น่าสนใจทางประวัติศาสตร์ที่รุ่งเรืองผ่านมากว่า 7,000 ปีมาแล้ว นำท่านไปชม หินรูปช้าง (Elephant Rock) หรือ 
      ภูเขาอัลฟีล (Jabal Alfil) อีกหนึ่งความมหัศจรรย์ของธรรมชาติที่น่าพิศวงที่เกิดขึ้นในอัลอูลา หินรูป ทรงแปลกขนาดใหญ่ คล้ายกับช้างยืนอยู่ท่ามกลางพื้นดิน มีฉากหลังเป็นภูเขาหินทราย ตั้งตระหง่านสูงจากพื้นดินประมาณ 171 ฟุต ตั้งอยู่ห่างออกไปประมาณ 11 กิโลเมตรจากตัวเมืองอัลอูลา
       
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน 
      บ่าย นำท่านชม ย่านเมืองเก่าอัลอูลา (Al Ula Old Town) ให้ท่านได้เดินเล่นเพลิดเพลินกับบรรยากาศของเมืองเก่าที่มีร้านค้า ร้านอาหาร ร้านขายของ ได้อย่างอิสระ จากนั้นนำท่านเช็คอินเข้าสู่โรงแรม 
      ช่วงเย็น นำท่านไปสัมผัสประสบการณ์สุดวิเศษครั้งหนึ่งในชีวิตกับ การดูดาวยามค่ำคืน แบบชาว เบดูอิน (Stargazing Experience) ที่ Al Gharameel เป็นสถานที่ที่ท่านจะประทับใจกับความหมายของการดูดาวแบบดั้งเดิมของชาวเบดูอินอันแสดงให้เห็นถึงความผูกพันระหว่างดวงดาวกับวิถีชีวิตของชาวเบดูอินตั้งแต่ในอดีต ซึ่งสะท้อนมายังวิถีวัฒนธรรมประเพณีของชาวเบดูอินสืบต่อมาหลายช่วงอายุคน สมควรแก่เวลา นำท่านเดินทางกลับโรงแรมเพื่อพักผ่อนตามอัธยาศัย

      ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ 
      เข้าสู่โรงแรมที่พัก SAHARY RESORT 4*, AL ULA หรือเทียบเท่า
  • Day 5
    อัลอูลา - เฮกรา - ดาดัน - ภูเขาอิคมาห์ - ฮารัท อูวาย์ริด
    • เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม 
      ออกเดินทางไปชม เฮกรา (Hegra) World Heritage Site (UNESCO) < 32KMS / 35MIN >
      เฮกรา (Hegra) เป็นที่รู้จักในนาม Mada'in Salih (Cities of Salih) เป็นแหล่งโบราณคดีที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ของ Al Ula ภายในจังหวัดเมดิน่าห์ (Medinah) แคว้นฮิญาช (Hejaz) เหล่าซากปรักหักพังของโบราณสถานส่วนใหญ่ มีอายุตั้งแต่สมัยอาณาจักรนาบาเทียน ราวคริสต์ศตวรรษที่ 1 โดยตำแหน่งที่ตั้งตรงบริเวณนี้ถือเป็นส่วนใต้สุดของราชอาณาจักรนาบาเทียน และเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองรองจากนครหลวงเพตรา (ปัจจุบันอยู่ในประเทศจอร์แดน) นอกจากนี้ยังพบร่องรอยการยึดครองของชนชาติต่างๆ เช่น ชาวลิเฮียน (Lihyanite) หรือชาวดาดัน (Dadan) และชาวโรมัน (Roman) ก่อนและหลังการปกครองของชาวนาบาเทียนอีกด้วย
      ในปีค.ศ.2008 องค์การยูเนสโก้ได้ประกาศขึ้นทะเบียนให้สถานที่แห่งนี้ให้เป็น มรดกโลกแห่งแรกของซาอุดิอาระเบีย (1st UNESCO World Heritage Site) เนื่องจากความเก่าแก่และความสมบูรณ์ของซากโบราณสถาน โดยเฉพาะส่วนที่เป็นสุสานหินแกะสลักโบราณขนาดมหึมา 131 แห่งที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี สุสานหินเหล่านี้เป็นของเหล่าบรรดาผู้มั่งมีที่มีความเชื่อในการสร้างสุสานที่ส่วนหน้าเป็นการแกะสลักหน้าผาหิน เป็นลวดลายประดับประดาอย่างวิจิตรบรรจงสวยงามตามความนิยมของหมู่ชาวนาบาเทียนในสมัยนั้น ไกด์ท้องถิ่นของเราจะนำท่านเดินทางข้ามเวลาเพื่อเปิดเผยความลับของอารยธรรมเมื่อกว่า 2,000 ปีที่แล้ว ผ่านการชมความยิ่งใหญ่ของโบราณสถานที่ทรงคุณค่าเหล่านี้

      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน 
      หลังจากนั้น นำท่านชม ดาดัน (Dadan) หนึ่งในอาณาจักรอาหรับโบราณที่ถูกค้นพบโดยนักสำรวจโบราณคดี ซึ่งการขุดค้นได้พบความยิ่งใหญ่ของสุสานและเมืองโบราณของอาณาจักรดาดันไนท์ (Dadanite) ซึ่งมีอายุราวในศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสต์ศักราช ระหว่างทางเราจะผ่านสวนปาล์มอินทผาลัมมากมายที่ช่วยสร้างภูมิทัศน์โอเอซิสให้ดูร่มรื่นมากยิ่งขึ้น 
      แล้วนำท่านชม ภูเขาอิคมาห์ (Jabal Ikmah) สถานที่อันสงบเงียบและศักดิ์สิทธิ์ของชาวลิเฮียน ในอารยธรรมโบราณ Lihyanite เส้นทางการเดินชมบนพื้นที่ระหว่างร่องภูเขาหิน เปรียบได้เป็นห้องสมุดกลางแจ้งที่เต็มไปด้วยศิลปะการจารึกลงบนแผ่นหิน มีทั้งที่เป็นภาพและเป็นข้อความจารึกในภาษาต่างๆ ที่เหล่าผู้แสวงบุญและนักเดินทางที่มาจากที่อื่นๆ จะบันทึกข้อความถึงคนอื่นๆ ข้อความจารึกส่วนใหญ่เขียนด้วยภาษาดาดันนิติค ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้กันในอาณาจักรดาดันไนท์ โดยอักษรที่เขียนจะอ่านจากขวาไปซ้าย มีตัวอักษรทั้งหมด 28 ตัวอักษร ต่อด้วยการแวะไปยังจุดชมวิวที่ ฮารัท อูวาย์ริด (Harrat Uwayrid Viewpoint) ชมทัศนียภาพที่สวยงามของภูมิประเทศของทุ่งภูเขาไฟที่มีพื้นดินกว้างใหญ่และขรุขระ ล้อมรอบด้วยหุบเขาต่างๆโดยรอบ บริเวณพื้นที่ของทุ่งภูเขาไฟแห่งนี้มีขนาดความยาวประมาณ 180 กิโลเมตรและความกว้างประมาณ 90 กิโลเมตร เมื่อได้เวลาพอสมควร นำท่านเดินทางกลับสู่โรงแรมที่พัก

      ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ 
      เข้าสู่โรงแรมที่พัก SAHARY RESORT 4*, AL ULA หรือเทียบเท่า
  • Day 6
    อัลอูลา - เมดิน่าห์
    • เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
      อำลาเมืองอัลอูลา เพื่อเดินทางต่อไปยังเมืองเมดิน่าห์ < 335KMS / 4HRS > เมืองเมดิน่าห์ (Medinah) เดิมชื่อ เมืองยัธริบ (Yathrib) เป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์อันดับ 2 ใน 3 เมืองสำคัญของศาสนาอิสลาม นั่นคือ นครเมกกะห์ และ กรุงเยรูซาเล็ม โดยเป็นเมืองที่เป็นที่ตั้งของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ Al-Masjid al-Nabawi ซึ่งเป็นที่ฝังพระศพของท่านนบีมูฮัมหมัด ศาสดาองค์สุดท้ายของศาสนาอิสลาม มัสยิดแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 622 นอกจากนี้ เมดิน่าห์ยังเป็นที่ตั้งของมัสยิดที่โดดเด่นอีก 2 แห่ง ได้แก่ มัสยิดกูบา (Masjid Quba) ที่เก่าแก่ที่สุดในศาสนาอิสลาม และมัสยิดอัลคิบลาไทยน์ (Masjid al-Qiblatayn) เมดิน่าห์ เป็นเมืองที่มีประชากรมากเป็นอันดับ 4 ของประเทศ ตั้งอยู่ในแคว้นฮิญาช (Hejaz) โดยเมืองนี้ครอบคลุมพื้นที่กว่า 589 ตารางกิโลเมตร ตั้งอยู่ที่ระดับความสูงที่เกือบสามเท่าของนครเมกกะห์ คือ ตั้งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 620 เมตร มีภูเขา
      อูฮัด (Mount Uhud) เป็นเขาที่สูงที่สุดในเมดิน่าห์ มีความสูงอยู่ที่ 1,077 เมตร ลักษณะภูมิประเทศของเมดิน่าห์ เป็นโอเอซิสกลางทะเลทรายที่ล้อมรอบด้วยเทือกเขาฮิญาชและเนินภูเขาไฟต่างๆ จึงทำให้เป็นสถานที่ที่มีความสวยงามตามธรรมชาติ เสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของเมืองเมดิน่าห์คือ เรื่องความหลากหลายของอาหาร โดยต้องขอบคุณผู้แสวงบุญที่เดินทางมาจากทั่วโลกได้นำเอาวัฒนธรรมอาหารของตนมาสู่เมืองแห่งนี้ จึงเป็นจุดกำเนิดของ “อัลบาอิก” (Albaik) แบรนด์ร้านไก่ทอดแนวฟาสต์ฟู๊ด ของชาวซาอุดิอาระเบียเป็นที่นิยมอย่างมากทั้งในหมู่ชาวเมือง นักจาริกแสวงบุญ และนักท่องเที่ยวในปัจจุบัน และเราต้องไม่พลาดในการให้ท่านได้มีโอกาสลิ้มลองทานดูอย่างแน่นอน 
       
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน 
      บ่าย นำท่านแวะชม ภูเขาอูฮัด (Mount Uhud) ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองเมดิน่าห์ มีความสูง 1,077 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ที่นี่เป็นสถานที่เกิดเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ คือ การต่อสู้ระหว่างชาวมุสลิมในเมืองเมดิน่าห์กับผู้ที่ไม่นับถือในองค์ศาสดาแห่งศาสนาอิสลามที่เดินทางมาจากเมกกะห์ เหตุการณ์สู้รบเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 มีนาคม ค.ศ. 625 ให้ท่านได้ฟังเรื่องราวของการต่อสู้ในครั้งนั้น โดยละเอียดจากมัคคุเทศก์ท้องถิ่น
      แล้วนำท่านเยี่ยมชม พิพิธภัณฑ์ ดาร์ อัล เมดิน่าห์ (Dar Al Medinah Museum) หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมในซาอุดิอาระเบีย เป็นพิพิธภัณฑ์ส่วนตัวของ Abdul-Aziz bin Abdul-Rahman bin Ibrahim Kaki พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เน้นที่ประวัติศาสตร์เรื่องราวของเมืองเมดิน่าห์ โดยเฉพาะเหตุการณ์สำคัญๆทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับเมือง ภายในมีห้องจัดแสดงอย่างน้อย 14 ห้อง ซึ่งแต่ละห้องเล่าเรื่องที่น่าสนใจเกี่ยวกับมรดกทางวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของผู้คนที่นี่ตั้งแต่ในยุคอดีตที่ผ่านมา การจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ทำได้ดีและน่าสนใจโดยเฉพาะ การให้เห็นว่าเมืองมีความอยู่รอดและมีวิวัฒนาการมาได้อย่างไร รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับประวัติศาสตร์อิสลามที่เกี่ยวกับการอพยพมาของท่านศาสดานบีมูฮัมหมัดมายังเมืองเมดิน่าห์ ตลอดจนเรื่องราวการต่อสู้เพื่อศาสนาอิสลามที่เกิดที่ภูเขาอูฮัด และที่นี่ยังมีการจัดแสดงโบราณวัตถุสำคัญๆ มากกว่า 2,000 ชิ้นอีกด้วยแล้วต่อด้วยการเดินทางไปชมเหล่าศาสนสถานที่สำคัญในเมืองเมดิน่าห์ อาทิ มัสยิดอัล นาบาวี (Al-Masjid al-Nabawi) เป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของศาสนาอิสลาม การได้เข้าเยี่ยมชมสถานที่แห่งนี้ เป็นหนึ่งในความใฝ่ฝันอันสูงสุดของชาวมุสลิมทั่วโลก 
      Al-Masjid al-Nabawī มักเรียกกันอีกชื่อว่า “มัสยิดของท่านศาสดา” เป็นมัสยิดที่สร้างโดยศาสดามูฮัมหมัดในเมืองเมดิน่าห์ เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อันดับสองในศาสนาอิสลาม รองจากมัสยิดอัลฮารอมในเมืองเมกกะห์ (Masjid al-Haram) ปัจจุบันเป็นหนึ่งในมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในโลก เนื่องจากได้มีการ
      ก่อสร้างและตกแต่งขยายขนาดให้ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ โดยผู้ปกครองอิสลามในแต่ละยุคแต่ละสมัย มัสยิดเดิมแห่งแรกที่ท่านศาสดาได้ร่วมสร้าง เป็นอาคารเปิดโล่งและมีขนาดเล็กกว่าปัจจุบันกว่า 100 เท่าสามารถจุผู้คนรองรับผู้มาทำละหมาดได้ถึงกว่าครึ่งล้านคน (เรานำท่านชมแต่เพียงภายนอกเท่านั้น สถานที่ศักดิ์สิทธิ์นี้เปิดให้เฉพาะชาวมุสลิมเข้าได้เท่านั้น) 
      จากนั้นนำชม มัสยิดกูบา (Masjid Quba) มัสยิดที่เก่าแก่ที่สุดในศาสนาอิสลาม เป็นมัสยิดที่ตั้งอยู่ชานเมืองเมดิน่าห์ ในเขตหมู่บ้านกูบา ท่านศาสดามูฮัมหมัดใช้เวลา 14 วันในมัสยิดแห่งนี้ เพื่อทำละหมาดระหว่างรอท่านอาลีเดิน ทางมาถึงเมดิน่าห์ นอกจากนี้มัสยิดแห่งนี้ยังกล่าวกันว่า เป็นสถานที่ละหมาดวันศุกร์แรกที่นำโดยท่านนบีมูฮัมหมัด 
      ต่อด้วยการชม มัสยิดอัลคิบลาไทยน์ (Masjid al-Qiblatayn) เป็นมัสยิดในเมืองเมดิน่าห์ที่ชาวมุสลิมเชื่อว่าเป็นสถานที่ที่พระศาสดาของศาสนาอิสลามคนสุดท้าย ท่านนบีมูฮัมหมัดได้รับคำสั่งให้เปลี่ยนกิบลัต Qiblat (ตำแหน่งทิศทางการอธิษฐาน) จากกรุงเยรูซาเล็มเป็นนครเมกกะห์ มัสยิดถูก  สร้างขึ้นโดย Sawad ibn Ghanam ibn Ka'ab ในช่วงระหว่างปี ค.ศ.623 และที่นี่เป็นหนึ่งในมัสยิดไม่กี่แห่งในโลกที่มีมิหร็อบ (Mihrab) ช่องทิศทางของการละหมาดที่ระบุตำแหน่งของกิบลัตสองแห่งในทิศทางที่ต่างกัน ต่อมาในปีค.ศ.1987 ในรัชสมัยของกษัตริย์ฟาฮัด มัสยิดแห่งนี้ถูกรื้อถอนและสร้างใหม่ทั้งหมด ในระหว่างการสร้างใหม่ ช่องทิศทางของการละหมาดอันเก่าที่หันหน้าไปทางเยรูซาเล็มก็ถูกรื้อออก เหลือทิ้งไว้แต่ช่องที่หันหน้าไปทางเมกกะห์ มัสยิดแห่งนี้ถือเป็นหนึ่งในมัสยิดที่เก่าแก่ที่สุดในสมัยของท่านมูฮัมหมัด ร่วมสมัยพร้อมกันกับมัสยิดกูบา และมัสยิดอัล นาบาวี

      ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ 
      เข้าสู่โรงแรมที่พัก MILLENNIUM MADINAH AIRPORT HOTEL 5*, MEDINAH หรือเทียบเท่า
  • Day 7
    เมดิน่าห์ - เจดดาห์
    • เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
      นำท่านเดินทางไปยัง สถานีรถไฟเมืองเมดิน่าห์ (Medinah Al Haramain Train Station)
      เดินทางสู่ เมืองเจดดาห์ โดย รถไฟขบวนด่วนพิเศษ (Haramain Speed Train) (ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 41 นาที) ท่านจะได้สัมผัสกับประสบการณ์พิเศษในการเดินทางที่แตกต่างจากทางรถยนต์หรือเครื่องบิน เพราะเป็นการเดินทางที่ท่านจะเพลิดเพลินไปกับทัศนียภาพสองข้างทาง โดยรถไฟขบวนด่วนพิเศษนี้สร้างขึ้นเพื่อเชื่อมสองเมืองศักดิ์สิทธิ์ ระหว่างเมืองเมกกะห์ และเมืองเมดิน่าห์ ดำเนินการโดย Saudi Railways Company (SAR) เริ่มในปี ค.ศ. 2018 โดยมีด้วยกัน 4 สถานีหลัก คือ MAKKAH JEDDAH KEAC MADINA ระยะทางรวม 450 กิโลเมตร วิ่งด้วยความเร็ว 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ครั้นเดินทางถึง เมืองเจดดาห์ (Jeddah) เป็นที่รู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่า Arous Al-Bahar หมายถึง “เจ้าสาวแห่งทะเลแดง” เนื่องจากความสวยงามตระการตาของเมืองที่มีทั้งประติมากรรม รูปปั้น ภาพวาด และน้ำพุจำนวนมากตั้งกระจายอยู่ทั่วเมือง เจดดาห์ เป็นเมืองในแคว้นเฮจาซของซาอุดิอาระเบีย เป็นเมืองศูนย์ กลางธุรกิจการค้าของประเทศ และเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศ รองลงมาจากเมืองหลวงริยาดห์ เจดดาห์ยังถือเป็นประตูสู่นครเมกกะห์ โดยอยู่ห่างไปทางทิศตะวันออกแค่ 65 กิโลเมตร ปัจจุบัน เจดดาห์ เป็นหนึ่งในเมืองตากอากาศหลักของซาอุดิอาระเบีย เนื่องจากเมืองนี้อยู่ติดทะเลแดง จึงเป็นเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมในหมู่คนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เพราะนอกจากความสวยงามของเมืองแล้ว อาหารการกินก็อุดมสมบูรณ์อย่างมาก โดยเฉพาะอาหารทะเล จึงทำให้วัฒนธรรมด้านอาหารของเมืองนี้แตกต่างจากส่วนอื่นๆของประเทศ ในภาษาอาหรับ คำขวัญของเมืองคือ "Jeddah Ghair" ซึ่งแปลว่า "Jeddah is different" คำขวัญนี้ใช้กันอย่างแพร่หลาย ทั้งเจดดาห์เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางว่าเป็นเมืองเสรีนิยมมากที่สุดในซาอุดิอาระเบีย
      เดินทางไปชม อัลบาลัด (Al-Balad) ซึ่งเป็นย่านประวัติศาสตร์ที่ถูกเรียกกันว่าย่าน "เมืองเก่า" ที่นี่ มีประตูเมืองและอาคารบ้านเรือนที่เก่าแก่ มีตลาดพื้นเมืองแบบดั้งเดิม มีร้านค้า ร้านอาหารมากมาย ที่นักท่องเที่ยวสามารถเดินเล่นได้อย่างเพลิดเพลินจนลืมเวลาแน่นอน อัลบาลัดในเจดดาห์ ได้รับสถานะเป็น เมืองมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก้ ในปีค.ศ. 2014 อาคารแบบดั้งเดิมหลายแห่ง จึงได้รับการบูรณะและเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชม ในปีค.ศ. 2019 มงกุฎราชกุมารมูฮัมหมัด บิน ซัลมาน แห่งซาอุดิอาระเบีย ได้ออกพระราชกฤษฎีกา สั่งให้กระทรวงวัฒนธรรมทำการบำรุงฟื้นฟูอาคารประวัติศาสตร์กว่า 50 หลังในเมืองเจดดาห์ รวมทั้งมัสยิดเก่าแก่หลายแห่งที่สร้างในยุคสมัยที่แตกต่างกัน มีพิพิธภัณฑ์ที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองที่เรียกว่า บ้านนาซีฟ (Naseef House) ซึ่งจัดแสดงเฟอร์นิเจอร์โบราณและการออกแบบอาคาร ในรูปแบบของสถาปัตยกรรมท้องถิ่นในช่วงสมัย 150 ปีที่ผ่านมา เราจะพาท่านแวะเข้าไปชมกัน

      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน 
      จากนั้นชม พิพิธภัณฑ์ทายยิบัต (Tayyibat Museum) ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ส่วนตัว 4 ชั้นที่มีการเก็บรวบรวมเรื่องราวและสิ่งของต่างๆที่น่าสนใจมากมาย โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับเมืองเจดดาห์ ภายในมีการจัดแสดงโบราณวัตถุก่อนในยุคสมัย ก่อนอิสลาม พระคัมภีร์ของศาสนาอิสลาม เหรียญตรา อาวุธยุทโธปกรณ์โบราณ ตลอดจนเครื่องเฟอร์นิเจอร์ที่สวยงาม เครื่องปั้นดินเผา และเครื่องแต่งกายโบราณของชาวซาอุดิอาระเบีย นอกจากนี้ยังมีการจำลองบ้านเรือนของทุกภูมิภาค การจัดแสดงที่นี่มีการบอกเล่าให้ข้อมูลได้อย่างดีเยี่ยม 
      อีกหนึ่งจุดหมายที่ไม่ควรพลาดที่ต้องนำท่านไปเยือน คือ เจดดาห์ คอร์นิช (Jeddah Corniche) หรือที่รู้จักในชื่อ เจดดาห์ วอเตอร์ ฟรอนท์ (Jeddah Waterfront) เป็นสถานที่พักตากอากาศริมชายฝั่งของเมืองเจดดาห์ มีความยาวประมาณ 30 กิโลเมตร ตั้งอยู่ริมทะเลแดง มีถนนเลียบชายฝั่งยาวตลอดเส้น พื้นที่แห่งนี้ได้ถูกพัฒนาให้เป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจของชาวเมือง รวมทั้งเป็นแหล่งท่องเที่ยวของเมืองเจดดาห์ มีการสิ่งอำนวยความสะดวกขึ้นมากมาย อาทิเช่น ร้านอาหาร ร้านค้า โรงแรม พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ ศูนย์วัฒนธรรม สวนดอกไม้ และประติมากรรมขนาดใหญ่ต่างๆ (รวมถึงป้ายชื่อเมืองเจดดาห์ที่ใหญ่โดดเด่นสะดุดตา) 
      ตลอดจน น้ำพุกษัตริย์ฟาฮัด (King Fahad Fountain) ซึ่งเป็นน้ำพุที่มีความสูงที่สุดในโลก โดยพ่นน้ำได้สูงถึง 312 เมตร ทำให้สามารถมองเห็นได้อย่างเด่นชัดจากจุดต่างๆ ในย่านบริเวณคอร์นิช แม้แต่ในระยะไกล ให้ท่านได้มีเวลาเดินเล่นถ่ายรูปตามอัธยาศัย 
      จากนั้นนำท่านชม มัสยิดอัลราห์มา (Al Rahma Mosque) หรือที่รู้จักในอีกชื่อว่า มัสยิดฟาติมา อัล ซาห์รา (Fatima Al Zahra Mosque) มัสยิดที่เป็นเสมือนแลนด์มาร์คอีกแห่งหนึ่งของเจดดาห์ เนื่องด้วยความสวยงามของโครงสร้างสถาปัตยกรรมสีขาวที่ประดับโดดเด่นด้วยโดมสีฟ้าครามและหอขานสูงตระหง่านสีขาวตั้งอยู่ปลายสุดของถนนคอร์นิช (Corniche Road) บนพื้นดินบริเวณปลายติ่งที่ติดกับทะเลแดง มีทางเดินที่เป็นกำแพงเตี้ยๆ ทอดยาวออกไปจากชายฝั่ง และเป็นที่รู้จักกันในนาม “มัสยิดลอยน้ำ” (Jeddah Floating Mosque) เพราะในช่วงเวลาน้ำขึ้น ตัวมัสยิดดูเหมือนจะลอยอยู่เหนือคลื่นของน้ำในทะเลแดงเบื้องล่าง สร้างขึ้นในปีค.ศ.1985 รูปแบบสถาปัตยกรรมเป็นแบบผสมผสานระหว่างอิสลามโบราณและสมัย ใหม่ ภายในมัสยิดมีลานกว้างที่ท่านสามารถมอง เห็นทัศนียภาพอันงดงามของชายฝั่งทะเลแดงและเพลิดเพลินบรรยากาศยืนรับลมทะเลพร้อมฟังเสียงคลื่นซัด สร้างความ สุขสงบให้กับผู้มาเยือนทุกคน ด้วยเหตุนี้ ที่นี่จึงได้รับความนิยมในหมู่ผู้แสวงบุญที่มาทำพิธีฮัจญ์และอุมเราะห์ในการมาแวะชมสถานที่แห่งนี้ก่อนเดินทางไปยัง 2 เมืองศักดิ์สิทธิ์ เมกกะห์และเมดิน่าห์ ไม่เว้นแม้แต่นักท่องเที่ยว ด้วยเช่นกัน จึงเป็นหนึ่งในมัสยิดที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดของเมืองเจดดาห์ในปัจจุบันเมื่อได้เวลาอันสมควร เดินทางต่อไปยัง มัสยิดอัลชาฟี (Al Shafi Mosque) มัสยิดที่เก่าแก่ที่สุดในเจดดาห์ มัสยิดนี้ได้รับการบูรณะและบำรุงรักษาอย่างสวยงาม เป็นมัสยิดที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในเจดดาห์ ตั้งชื่อตาม 1ใน 4 อิหม่ามผู้ยิ่งใหญ่ของศาสนาอิสลาม อาคารสถาปัตยกรรมส่วนใหญ่สร้างในช่วงศตวรรษที่ 16 ในสไตล์ออตโตมัน แต่อย่างไรก็ตามมัสยิดถูกสร้างขึ้นครั้งแรกในยุคแรกของศาสนาอิสลามเมื่อราวเกือบ 1,400 ปีมาแล้ว
       
      ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ 
      เข้าสู่โรงแรมที่พัก PARK INN BY RADISSON MADINAH HOTEL 4*, JEDDAH หรือเทียบเท่า
  • Day 8
    เจดดาห์ - ทาอีฟ - เจดดาห์
    • เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม 
      นำท่านออกเดินทางไปยัง เมืองทาอีฟ (Taif) ซึ่งอยู่ในเขตปกครองของจังหวัดเมกกะห์ ตั้งอยู่บนความสูง 1,879 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล บนแนวลาดของเขาฮิญาช (Hejaz) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาซาราวัค “ทาอีฟ” เป็นเมืองเก่าแก่นับพันปีเมืองหนึ่งที่มีความสำคัญมากในอดีต เพราะตั้งอยู่บนทางแยกของถนนสายประวัติศาสตร์ที่สำคัญที่สุดสองสายของคาบสมุทรอาหรับ นั่นคือ ถนนสายการค้ากำยานโบราณที่มีต้นทางจากเยเมนเมื่อกว่า 3,000 ปีที่แล้ว และถนนสายแสวงบุญสู่เมกกะห์ ที่นักจาริกแสวงบุญใช้ในการสัญจรผ่านไปมาเพื่อไปสู่นครเมกกะห์ นอกจากนี้ที่นี่ยังได้รับสมญานามว่าเป็น เมืองหลวงฤดูร้อนของซาอุดิอาระเบีย เนื่องด้วยสภาพภูมิอากาศที่ค่อนข้างเย็นสบายตลอดปี แม้กระทั่งในช่วงฤดูร้อน ผู้คนจึงนิยมมาพักผ่อนที่นี่ ทำให้มีโรงแรมที่พักและ
      รีสอร์ตเกิดขึ้นหลายแห่ง นอกจากนี้ทาอีฟยังเป็นแหล่งเพาะ ปลูกที่สำคัญของประเทศ ผลิตผลทางการเกษตรที่สำคัญหลากหลายชนิดมาจากที่นี่ อาทิเช่น องุ่น ทับทิม มะเดื่อ น้ำผึ้ง และเมืองนี้ยังได้ชื่อว่าเป็น เมืองแห่งดอกกุหลาบ อีกด้วย จึงทำให้ที่นี่เป็นแหล่งผลิตน้ำมันหอมระเหยดอกกุหลาบที่มีคุณภาพเยี่ยมแห่งหนึ่งของโลก นำชม พระราชวังชูบรา (Shubra Palace) เป็นพระราชวังเก่าแก่ สร้างในปีค.ศ.1905 โดย Ali bin Abdullah bin Aoun Pashar ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ติดถนนชูบรา ซึ่งเป็นหนึ่งในถนนสายหลักที่สำคัญที่สุดในเมือง พระราชวังแห่งนี้เป็นเสมือนพระราชวังฤดูร้อนของกษัตริย์อับดุลอาซิซ และเหล่าเชื้อพระวงศ์ ตัวอาคารสีขาวมีความโดดเด่นและสวยงามมาก เป็นรูปแบบการผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมอาหรับและโรมาเนียอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ตัวอาคารมีสี่ชั้น ล้อม รอบด้วยสวนและรั้วที่มีภาพแกะสลักแบบโรมัน มีระเบียงไม้และหน้าต่างที่ประดับประดาด้วยลายไม้แกะสลักงดงาม ภายในมีห้องพักมากกว่าร้อยห้อง และมีทางเข้าหลายทาง  ที่สร้างด้วยหินอ่อนจากอิตาลี ส่วนของทางเดินและเพดาน เป็นสถาปัตยกรรมแบบอิสลาม ในขณะที่บริเวณส่วนหลังคาของพระราชวัง เป็นสถาปัตยกรรมแบบโรมัน ปัจจุบันพระราชวังแห่งนี้ได้ถูกเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เก็บโบราณวัตถุในยุคอิสลามตอนต้น รวมทั้งของล้ำค่า เช่น อัญมณี เงิน และเหรียญทอง ตราประทับ เครื่องใช้ในครัวเรือน และอาวุธโบราณ เช่น มีด ดาบ หอก และโล่ เป็นต้น จากนั้นนำท่านไปยัง โอกาซ ซุค (Okaz Souq) ตลาดพื้นเมืองโบราณ ในอดีตเป็นตลาดกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดและรู้จักกันดีในโลกของอิสลาม ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวหลายพันคนจากทั่วโลกมาเยี่ยมชม โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลของโอกาซ ซุค (Okaz Souq Festival) ซึ่งเป็นงานประเพณีที่จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ทุกปี จะมีการแข่งขันการบรรยายบทกวี นิทรรศการงานศิลปะและงานฝีมือ ดอกไม้และกล้วยไม้ที่ปลูกในเมืองทาอีฟ เป็นต้น 
      เดินทางต่อไปเยี่ยมชม โรงงานดอกกุหลาบ (Rose Factory) ที่นี่ท่านสามารถหาซื้อน้ำมันหอมระเหยดอกกุหลาบ (Rose Oil) หรือ น้ำดอกกุหลาบ (Rose Water) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงในระดับโลกของเมืองทาอีฟและประเทศซาอุดิอาระเบีย
        
      กลางวัน     รับประทานอาหารกลางวัน 
      บ่าย นำท่านชมย่านเมืองเก่าของทาอีฟ บริเวณ ประตูเมืองเก่าทาอีฟ (Bab Alrea) ซึ่งเป็นรูปแบบประตูโค้งสามส่วน ปากทางเดินเข้าไปยังตลาดเก่าของเมือง ที่ขายพวกพืชผักผลไม้และเครื่องเทศต่างๆ 
      จากนั้นเดินทางไปยังเขต ภูเขาอัล ชาฟา (Al Shafa) และภูเขาอัล ฮาดา (Al Hada) ซึ่งเป็นพื้นที่ภูเขาสูงชัน เส้นทางถนนบนภูเขาที่นี่คดเคี้ยวสวยงาม และในมีความสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคนี้ 
      ภูเขาอัล ชาฟา เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในเขตเมือง คนทั่วไปรู้จักกันในนาม จาบัล ดักกา (Jabal Dakka)
      ทิวทัศน์ในบริเวณนี้สวยงาม อุดมไปด้วยธรรมชาติที่สมบูรณ์ ทั้งพืชพันธุ์สมุนไพร ต้นไม้ พุ่มไม้หลากชนิดที่เติบโตขึ้นทุกหนทุกแห่ง และยังสามารถสัมผัสได้ถึงอากาศเย็นสบายโดยรอบบริเวณ
      จากนั้น นำท่านนั่งรถกระเช้าไฟฟ้า (Cable Car) ขึ้นไปยังยอดเขาเพื่อชมวิวทิวทัศน์ของ ภูเขาอัล ฮาดา (Al Hada Mountain) ซึ่งด้านบนมีร้านอาหารและโรงแรมหรูตั้งอยู่ (เราขอสงวนสิทธิ์ในการยกเลิกการขึ้นรถกระเช้าไฟฟ้า ในกรณีที่อากาศไม่อำนวย ทัศนวิสัยไม่ดี)
      ได้เวลาพอสมควร เดินทางกลับโรงแรมที่พักในเมืองเจดดาห์ เพื่อพักผ่อนตามอัธยาศัย 

      ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ 
      เข้าสู่โรงแรมที่พัก PARK INN BY RADISSON MADINAH HOTEL 4*, JEDDAH หรือเทียบเท่า
  • Day 9
    เจดดาห์ - กรุงเทพฯ
    • 01.30 น. เช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรม เดินทางไปยังสนามบินนานาชาติ Jeddah King Abdulaziz Int’l Airport เตรียมตัวเช็คอินสำหรับเที่ยวบินระหว่างประเทศ เพื่อเดินทางกลับสู่ประเทศไทย
      04.45 น. เหินฟ้าสู่ กรุงเทพฯ ประเทศไทย โดยสายการบิน SAUDIA เที่ยวบินที่ SV844 (04.45-17.00) (ใช้เวลาบิน 8 ชั่วโมง 15 นาที)  (บริการอาหารบนเครื่อง)
      17.00 น. เดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิโดยสวัสดิภาพ
Top